วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2553
จุดเริ่มต้นของชีวิต
เขียนโดย Gig | ที่ 23:40 | 0 ความคิดเห็น
Read more...
วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553
e-commerce ในไทย
เขียนโดย Gig | ที่ 00:18 | 0 ความคิดเห็น
e-Commerce ในไทย
เรื่องเกี่ยวกับ e-Commerce ที่ผมกำลังเขียนนี้ เป็นความคิดเห็น ไม่ใช่ theory หรือ conclusion จึงไม่สามารถนำไปอ้างอิงได้ตามหลักวิชาการ ที่เขียนนี้ก็เพื่อให้ข้อมูล ในอีกมุมมองหนึ่งของคนทำเว็บ ซึ่งอาจจะสวนกระแสอยู่เล็กน้อย ตามประสาของคนเจ้าปัญหา เพราะใคร ๆ หลายคนรอบข้างผม มักว่าผมเป็นมนุษย์ Conservative เสมอ e-Commerce ในทางทฤษฏี คืออะไรที่ยอดเยี่ยมสำหรับนักลงทุน เป็นอะไรที่ แปลกใหม่ กำลังอยู่ในความสนใจของ ผู้ประกอบการนักวิชาการ นักพัฒนาเว็บ และประชาชนผู้มีฐานะดีทั่วโลกด้วยเหตุที่ e-Commerce คือคำที่ใช้เรียก ระบบการซื้อขายผ่าน internet ไม่ว่าจะเต็มรูปแบบ หรือกึ่งรูปแบบ โดยมีเงื่อนไขง่าย ๆ ว่า e-Commerce คือเรื่องที่ต้องมีผู้ขาย และผู้ซื้อ ติดต่อกันเป็นหลักส่วนรายละเอียดปลีกย่อยอีก 108 เป็นเพียงส่วนประกอบเท่านั้น e-Commerce เต็มรูปแบบในความหมายของผมคือการทำเว็บโฆษณาขายสินค้า ให้ลูกค้าเข้ามาดู หากถูกใจก็จะทำการเลือกสินค้า แล้วจ่ายเงินผ่านบัตร เครดิตหรือโอนเงินเข้าธนาคาร ตามเลขบัญชี หรือส่งตั๋วแลกเงินไปให้ ผู้ขาย จากนั้นผู้ขายก็จะส่งสินค้าไปให้ผู้ซื้อถึงบ้าน คำว่าเต็มรูปแบบในความหมายนี้ก็คือ ผู้ขายมักได้เงินก่อน หรือมั่นใจว่าได้เงินแน่นอน จึงส่งสินค้าไปให้ แต่วิธีนี้เป็นวิธีที่ค่อนข้างยุ่งยากและสลับซับซ้อน ดังนั้นร้านค้าธรรมดาต้องอาศัย การฝากข้อมูลไว้กับเว็บที่ชำนาญ เช่น http://www.thaicybermall.com/ หรือ http://www.shoppingthailand.com/ เสมือนกับห้าง central ที่เราสามารถไปเช่าพื้นที่ขายสินค้า โดยทางเว็บจะให้บริการรับชำระเงินผ่านบัตรเครดิต ทำระบบ stock และแจ้งให้เราทราบเกี่ยวกับรายการซื้อขาย พร้อมให้ คำแนะนำต่าง ๆ กับเราสารพัดที่จะทำให้เราขายสินค้าได้ e-Commerce กึ่งรูปแบบคือ การทำเว็บขายสินค้าเหมือนแบบเต็มรูปแบบ แต่จุดที่ แตกต่างกันอยู่ที่วิธีการจ่ายเงิน โดยจะไม่มีการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต แต่อาจเป็นวิธีโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารหลังรับสินค้า หรือให้ไปรับสินค้า ผ่าน พ.ก.ง. ซึ่งลูกค้าต้องไปจ่ายเงินที่ ณ ที่ทำการไปรษณีย์ แต่เป็นวิธี ที่ไม่ปลอดภัยกับผู้ขาย เพราะเสี่ยงที่ลูกค้าจะไม่ไปรับสินค้าทำให้ต้อง เสียค่าใช้จ่ายในส่วนนี้โดยไม่จำเป็น แต่ก็เหมาะกับธุรกิจที่ไม่ถูกกฏหมาย เช่นขาย cd เถื่อน หรือธุรกิจที่ไม่ได้ทำระบบรับชำระอัตโนมัติ ที่สมบูรณ์ แต่ต้องการความง่าย หรือต้องการคุยกับลูกค้ารายตัว ก่อนส่งสินค้าเป็นต้น เรื่องของ e-Commerce ในอเมริกา นั่นรุ่งเรืองมาก เพราะผู้ขายมีเทคโนโลยี ผู้ซื้อเข้าถึงคอมพิวเตอร์ได้ง่ายและก็มีบัตรเครดิตกันเหมือนกับจะใช้ แทนเงินสดกันเลยทีเดียว ปัจจุบันชาวอเมริกาในพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศสามารถใช้บัตรเครดิตซื้อขายกันเป็นเรื่องปกติ การใช้เงินสดซื้อขอซะอีก ที่เป็นเรื่องผิดปกติ เมื่อหันกลับมามองเมืองไทยก็จะพบปัญหาในการทำธุรกิจ แบบนี้ นานาประการ แต่ผมก็เห็นนักวิชาการ และนักธุรกิจ กลุ่มหนึ่ง พยายามที่จะผลักดันเรื่องนี้ให้เป็นไปได้ แต่ผมบอกแล้วว่าผมเป็นพวก conservative จึงเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องยากเพราะผมมองเห็นปัญหาที่แก้ได้ยากกว่าจะทำให้ e-Commerce เจริญในทางรูปธรรมในเมืองไทย
ปัญหาของ e-Commerce ในไทย
1. คนไทยค่าครองชีพต่ำทำให้อำนาจซื้อที่จะไปซื้อของผ่านเว็บยังน้อย
2. คนไทยน้อยคนมากที่จะใช้บัตรเครดิต และยิ่งน้อยเข้าไปอีกที่จะนำไปซื้อของ ผ่าน internet อันมีเหตุผลมาจากความเชื่อถือในความปลอดภัย ผมรู้จักผู้มีฐานะ ท่านหนึ่ง เขาไปซื้อของใน internet แบบให้ลงทะเบียนเลขบัตรไว้ แต่จะยังไม่เก็บตัง พอเดือนต่อมา ปรากฏว่ามียอดการใช้บัตร เป็นค่าโทรศัพท์ในอเมริกาที่เจ้าของบัตร ไม่รู้ไม่เห็นด้วยเลย นี่ก็คือตัวอย่างหนึ่งที่อาจไม่เกิดกับท่านก็ได้ .. อย่ากลัว ผมไม่ได้ขู่นะครับเพียงแต่ให้ข้อมูลเรื่องจริงเท่านั้น
3. คนไทยน้อยคนที่สนใจ ใช้งานคอมพิวเตอร์เพื่อจับจ่ายซื้อของ ส่วนใหญ่จะใช้ทำงานและเพื่อการศึกษา และเล่นเกมส์ สังเกตุว่า ร้านขาย cd เกือบทุกร้านจะมีแผ่น cd เกมส์กันเกือบครึ่งร้านและผู้ไปซื้อคอมพิวเตอร์กว่าครึ่งหนึ่งจะถามว่า คอมพิวเตอร์มีเกมส์อะไรบ้าง
4. เมื่อ demand น้อย ทำให้ supply น้อยไปด้วยทำให้เกิดการแข่งขัน และความพยายามที่จะพัฒนาระบบน้อย เนื่องจากไม่คุ้มกับการลงทุน
5. คนไทยส่วนใหญ่นิยมใช้เงินสดและได้เลือกสินค้าก่อนซื้อ มิใช่เห็นแต่ในภาพ
e-Commerce ในทางปฏิบัติ ของเมืองไทย เป็นเรื่องปกติที่ทุกคนต้องการอะไรที่สะดวกสบาย โดยเฉพาะการซื้อของผ่านเว็บ ดังนั้นนักวิชาการ นักพัฒนา และนักลงทุน จึงร่วมมือกันที่จะทำให้เรื่องนี้เป็นจริงในเมืองไทย จึงได้ทำเว็บลักษณะนี้กันขึ้นมากมาย และใช้กันในปัจจุบัน แต่เท่าที่ผมสังเกตุ เห็นในเว็บ e-Commerce เมื่อต้นปี2000 เช่น http://www.thaicybermall.com/ หรือ http://www.shoppingthailand.com/ ซึ่งเป็นเว็บ e-Commerce ของ ISP(Internet Service Provider) ชื่อดังระดับ top5 ของเมืองไทย แต่มีสินค้า และร้านค้า น้อยมาก นอกจากนี้ยังสังเกตุได้จากเว็บรับประมูล ที่ใคร ๆ ก็เสนอขายสินค้าอะไรก็ได้ เช่น http://www.thaibid.com/ และ http://www.pramool.com/ สำหรับทั้งสองเว็บนี้ ผมก็ได้ทดลองลงประกาศขายเว็บส่วนตัวของผม ในราคา 39,999 บาท ที่ขายไปก็เพื่อศึกษาการทำธุรกิจ จะได้นำประสบการณ์มาเล่าให้นักศึกษาฟัง เว็บที่ผมขายคือ thainame.net ส่วนรายละเอียดผมจะมาเล่าให้ฟังในฉบับต่อไป
สุดท้ายนี้ ผมขอฝากคำถามไว้ให้ท่านตอบ แต่ตอบในใจนะครับไม่ต้องบอกผมว่าท่านคิดว่า e-Commerce จะเป็น fashion เหมือน ทามาก๊อต หรือ DanceZone หรือไม่ หรือจะเป็น trend ของโลก แต่ค่อย ๆ ก้าวไป หรือเป็นไปอะไรที่มาแรงสุด ๆ ทั้งใน ทางทฤษฎี และทางปฏิบัติ ก่อนตอบคำถามผม ขอถามหน่อยว่าท่านเคยหรือเห็นใครรอบข้างท่านเข้าไปใช้บริการ e-Commerce บ่อยเพียงใด แล้วค่อยตอบคำถาม ขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่าปัจจุบันเว็บ e-Commerce ชื่อดังอย่าง amazon.com หรือ ebay.com นั้น มียอดหุ้นสูงมาก แต่ผลการดำเนินการยังขาดทุนอยู่ครับ แต่ที่ยอดหุ้นสูงเพราะนักเก็งกำไรบอกว่า เขาซื้ออนาคต ไม่ได้ซื้อปัจจุบัน ในความเห็นของผมแล้ว ผมไม่ใช่นักเก็งกำไร จะให้ซื้ออนาคตผมคงไม่เอาด้วยแน่ แล้วถ้าเป็นท่าน เห็นเขาดำเนินธุรกิจขาดทุน ท่านคิดจะไปซื้อหุ้นเขาไหมครับ
1. คนไทยค่าครองชีพต่ำทำให้อำนาจซื้อที่จะไปซื้อของผ่านเว็บยังน้อย
2. คนไทยน้อยคนมากที่จะใช้บัตรเครดิต และยิ่งน้อยเข้าไปอีกที่จะนำไปซื้อของ ผ่าน internet อันมีเหตุผลมาจากความเชื่อถือในความปลอดภัย ผมรู้จักผู้มีฐานะ ท่านหนึ่ง เขาไปซื้อของใน internet แบบให้ลงทะเบียนเลขบัตรไว้ แต่จะยังไม่เก็บตัง พอเดือนต่อมา ปรากฏว่ามียอดการใช้บัตร เป็นค่าโทรศัพท์ในอเมริกาที่เจ้าของบัตร ไม่รู้ไม่เห็นด้วยเลย นี่ก็คือตัวอย่างหนึ่งที่อาจไม่เกิดกับท่านก็ได้ .. อย่ากลัว ผมไม่ได้ขู่นะครับเพียงแต่ให้ข้อมูลเรื่องจริงเท่านั้น
3. คนไทยน้อยคนที่สนใจ ใช้งานคอมพิวเตอร์เพื่อจับจ่ายซื้อของ ส่วนใหญ่จะใช้ทำงานและเพื่อการศึกษา และเล่นเกมส์ สังเกตุว่า ร้านขาย cd เกือบทุกร้านจะมีแผ่น cd เกมส์กันเกือบครึ่งร้านและผู้ไปซื้อคอมพิวเตอร์กว่าครึ่งหนึ่งจะถามว่า คอมพิวเตอร์มีเกมส์อะไรบ้าง
4. เมื่อ demand น้อย ทำให้ supply น้อยไปด้วยทำให้เกิดการแข่งขัน และความพยายามที่จะพัฒนาระบบน้อย เนื่องจากไม่คุ้มกับการลงทุน
5. คนไทยส่วนใหญ่นิยมใช้เงินสดและได้เลือกสินค้าก่อนซื้อ มิใช่เห็นแต่ในภาพ
e-Commerce ในทางปฏิบัติ ของเมืองไทย เป็นเรื่องปกติที่ทุกคนต้องการอะไรที่สะดวกสบาย โดยเฉพาะการซื้อของผ่านเว็บ ดังนั้นนักวิชาการ นักพัฒนา และนักลงทุน จึงร่วมมือกันที่จะทำให้เรื่องนี้เป็นจริงในเมืองไทย จึงได้ทำเว็บลักษณะนี้กันขึ้นมากมาย และใช้กันในปัจจุบัน แต่เท่าที่ผมสังเกตุ เห็นในเว็บ e-Commerce เมื่อต้นปี2000 เช่น http://www.thaicybermall.com/ หรือ http://www.shoppingthailand.com/ ซึ่งเป็นเว็บ e-Commerce ของ ISP(Internet Service Provider) ชื่อดังระดับ top5 ของเมืองไทย แต่มีสินค้า และร้านค้า น้อยมาก นอกจากนี้ยังสังเกตุได้จากเว็บรับประมูล ที่ใคร ๆ ก็เสนอขายสินค้าอะไรก็ได้ เช่น http://www.thaibid.com/ และ http://www.pramool.com/ สำหรับทั้งสองเว็บนี้ ผมก็ได้ทดลองลงประกาศขายเว็บส่วนตัวของผม ในราคา 39,999 บาท ที่ขายไปก็เพื่อศึกษาการทำธุรกิจ จะได้นำประสบการณ์มาเล่าให้นักศึกษาฟัง เว็บที่ผมขายคือ thainame.net ส่วนรายละเอียดผมจะมาเล่าให้ฟังในฉบับต่อไป
สุดท้ายนี้ ผมขอฝากคำถามไว้ให้ท่านตอบ แต่ตอบในใจนะครับไม่ต้องบอกผมว่าท่านคิดว่า e-Commerce จะเป็น fashion เหมือน ทามาก๊อต หรือ DanceZone หรือไม่ หรือจะเป็น trend ของโลก แต่ค่อย ๆ ก้าวไป หรือเป็นไปอะไรที่มาแรงสุด ๆ ทั้งใน ทางทฤษฎี และทางปฏิบัติ ก่อนตอบคำถามผม ขอถามหน่อยว่าท่านเคยหรือเห็นใครรอบข้างท่านเข้าไปใช้บริการ e-Commerce บ่อยเพียงใด แล้วค่อยตอบคำถาม ขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่าปัจจุบันเว็บ e-Commerce ชื่อดังอย่าง amazon.com หรือ ebay.com นั้น มียอดหุ้นสูงมาก แต่ผลการดำเนินการยังขาดทุนอยู่ครับ แต่ที่ยอดหุ้นสูงเพราะนักเก็งกำไรบอกว่า เขาซื้ออนาคต ไม่ได้ซื้อปัจจุบัน ในความเห็นของผมแล้ว ผมไม่ใช่นักเก็งกำไร จะให้ซื้ออนาคตผมคงไม่เอาด้วยแน่ แล้วถ้าเป็นท่าน เห็นเขาดำเนินธุรกิจขาดทุน ท่านคิดจะไปซื้อหุ้นเขาไหมครับ
ที่มา : YONOK Business monthly ปีที่2 ฉบับที่2 วันที่ 1-31 มีนาคม 2543
ขั้นตอนและกลยุทธ์ในการทำ e-commerce
เขียนโดย Gig | ที่ 00:04 | 0 ความคิดเห็นขั้นตอนการเข้าสู่ธุรกิจ e-Commerce 5 ขั้นตอน
(เรียบเรียงจาก e-Commerce และกลยุทธ์การทำเงิน โดย วัชระพงศ์ ยะไวทย์ สำนักพิมพ์ซีเอ็ด หน้า 28)
ขั้นตอนทั้ง 5 นี้ ทำให้รู้ว่าจะพัฒนา e-Commerce .. อย่างไร
ขั้นตอน 1 - สำรวจโอกาสทางการตลาดด้วยระบบค้นหาข้อมูล (Market Search)
ขั้นตอน 2 - วางแผนการตลาด และพัฒนาเว็บเพจ (Planning and Development)
ขั้นตอน 3 - นำเว็บเพจเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ต และจัดตั้งเว็บไซต์ (Install)
ขั้นตอน 4 - โฆษณา และประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ (Promotion)
ขั้นตอน 5 - ติดตามผล ปรับปรุง และบำรุงรักษา (Evaluation and Maintainance) ลักษณะพิเศษของการทำการค้าบนเว็บ : ไม่มีพรมแดน, ตัวต่อตัว, ตัดสินใจจากข้อมูล, กิจกรรมผสม, ไปถึงคนทั่วโลก, โต้ตอบทันควัน, ทำได้ 24 ชั่วโมง
ขั้นตอน 1 - สำรวจโอกาสทางการตลาดด้วยระบบค้นหาข้อมูล (Market Search)
ขั้นตอน 2 - วางแผนการตลาด และพัฒนาเว็บเพจ (Planning and Development)
ขั้นตอน 3 - นำเว็บเพจเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ต และจัดตั้งเว็บไซต์ (Install)
ขั้นตอน 4 - โฆษณา และประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ (Promotion)
ขั้นตอน 5 - ติดตามผล ปรับปรุง และบำรุงรักษา (Evaluation and Maintainance) ลักษณะพิเศษของการทำการค้าบนเว็บ : ไม่มีพรมแดน, ตัวต่อตัว, ตัดสินใจจากข้อมูล, กิจกรรมผสม, ไปถึงคนทั่วโลก, โต้ตอบทันควัน, ทำได้ 24 ชั่วโมง
ขั้นตอนที่ต้องปฏิบัติเพื่อความสำเร็จในการทำ e-Commerce มี 9 ขั้นตอน
(เรียบเรียงจาก e-Commerce และกลยุทธ์การทำเงิน โดย วัชระพงศ์ ยะไวทย์ สำนักพิมพ์ซีเอ็ด หน้า 234)
(เรียบเรียงจาก e-Commerce และกลยุทธ์การทำเงิน โดย วัชระพงศ์ ยะไวทย์ สำนักพิมพ์ซีเอ็ด หน้า 234)
ขั้นตอนทั้ง 9 นี้ มีความชัดเจนที่ส่งเสริมให้เกิดการปฏิบัติในทาง e-Commerce อย่างมาก
1. แต่งตั้ง คณะกรรมการควบคุมดูแล (Committee) ซึ่งควรจะมี ฝ่ายขาย การตลาด และผู้บริหารที่มีอำนาจตัดสินใจเป็นแกนหลัก
2. วิจัยตลาด (Marget Research) โดยผ่านทางระบบค้นหา เพื่อหาช่องว่าง และโอกาสทางการตลาด
3. กำหนด กลุ่มเป้าหมาย (Marget Target) ที่เราจะขายสินค้าให้ ซึ่งในที่นี้จะเน้นที่กลุ่มที่มีพฤติกรรมที่เหมือนกัน 4. วางแผนกลยุทธ์ (Strategic Planning) ด้านสินค้าว่า จะขายอะไร หรือปรับปรุงอย่างไร ตั้งราคาเท่าใด โดยปรับตามปัจจัย และพฤติกรรมที่ใช้ในการตัดสินใจซื้อของกลุ่มเป้าหมาย และวางกลยุทธิ์การพัฒนาเว็บเพจ หลังจากนั้นมอบหมายให้คณะทำงานอีคอมเมอร์ซที่แต่งตั้งขึ้นมา เพื่อนำไปปฏิบัติการ
5. ทำการ พัฒนาเว็บเพจ (Webpage Developing) ตามที่ได้วางกลยุทธ์ไว้ ซึ่งการจัดรูปแบบจะต้องสอดคล้องกับพฤติกรรมในการตัดสินใจซื้อ
6. ติดตั้ง ระบบอีคอมเมิร์ซ (e-Commerce System) เลือกระบบตะกร้า และวิธีการจ่ายเงินที่เหมาะสม
7. จดทะเบียนชื่อโดเมน (Domain Name Registration) (อาจจะทำการจดไว้ก่อนตั้งแต่ขึ้นตอนแรก หากกลัวชื่อที่ต้องการหมด และสามารถตกลงกันได้ว่าจะเอาชื่อใด) และนำเว็บเพจที่ออกแบบเสร็จแล้ว เข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ต หรืออัปโหลดขึ้น เว็บเซิร์ฟเวอร์ เสร็จแล้วก็ทำการลงทะเบียนในระบบค้นหา และประชาสัมพันธ์ด้วยวิธี หรือสื่ออื่น
8. ตรวจวัดผลระยะเวลา 1, 3 และ 6 เดือน (Evaluation) เพื่อปรับแต่งจนสอดคล้องกับพฤติกรรม และความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย
9. เฝ้าดูแล (Monitor) และปรับปรุงเนื้อหา ตามกำหนดระยะเวลา เช่น ทุกสัปดาห์ หรือทุกเดือน
ลักษณะพิเศษของการทำการค้าบนเว็บ : ไม่มีพรมแดน, ตัวต่อตัว, ตัดสินใจจากข้อมูล, กิจกรรมผสม, ไปถึงคนทั่วโลก, โต้ตอบทันควัน, ทำได้ 24 ชั่วโมง
1. แต่งตั้ง คณะกรรมการควบคุมดูแล (Committee) ซึ่งควรจะมี ฝ่ายขาย การตลาด และผู้บริหารที่มีอำนาจตัดสินใจเป็นแกนหลัก
2. วิจัยตลาด (Marget Research) โดยผ่านทางระบบค้นหา เพื่อหาช่องว่าง และโอกาสทางการตลาด
3. กำหนด กลุ่มเป้าหมาย (Marget Target) ที่เราจะขายสินค้าให้ ซึ่งในที่นี้จะเน้นที่กลุ่มที่มีพฤติกรรมที่เหมือนกัน 4. วางแผนกลยุทธ์ (Strategic Planning) ด้านสินค้าว่า จะขายอะไร หรือปรับปรุงอย่างไร ตั้งราคาเท่าใด โดยปรับตามปัจจัย และพฤติกรรมที่ใช้ในการตัดสินใจซื้อของกลุ่มเป้าหมาย และวางกลยุทธิ์การพัฒนาเว็บเพจ หลังจากนั้นมอบหมายให้คณะทำงานอีคอมเมอร์ซที่แต่งตั้งขึ้นมา เพื่อนำไปปฏิบัติการ
5. ทำการ พัฒนาเว็บเพจ (Webpage Developing) ตามที่ได้วางกลยุทธ์ไว้ ซึ่งการจัดรูปแบบจะต้องสอดคล้องกับพฤติกรรมในการตัดสินใจซื้อ
6. ติดตั้ง ระบบอีคอมเมิร์ซ (e-Commerce System) เลือกระบบตะกร้า และวิธีการจ่ายเงินที่เหมาะสม
7. จดทะเบียนชื่อโดเมน (Domain Name Registration) (อาจจะทำการจดไว้ก่อนตั้งแต่ขึ้นตอนแรก หากกลัวชื่อที่ต้องการหมด และสามารถตกลงกันได้ว่าจะเอาชื่อใด) และนำเว็บเพจที่ออกแบบเสร็จแล้ว เข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ต หรืออัปโหลดขึ้น เว็บเซิร์ฟเวอร์ เสร็จแล้วก็ทำการลงทะเบียนในระบบค้นหา และประชาสัมพันธ์ด้วยวิธี หรือสื่ออื่น
8. ตรวจวัดผลระยะเวลา 1, 3 และ 6 เดือน (Evaluation) เพื่อปรับแต่งจนสอดคล้องกับพฤติกรรม และความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย
9. เฝ้าดูแล (Monitor) และปรับปรุงเนื้อหา ตามกำหนดระยะเวลา เช่น ทุกสัปดาห์ หรือทุกเดือน
ลักษณะพิเศษของการทำการค้าบนเว็บ : ไม่มีพรมแดน, ตัวต่อตัว, ตัดสินใจจากข้อมูล, กิจกรรมผสม, ไปถึงคนทั่วโลก, โต้ตอบทันควัน, ทำได้ 24 ชั่วโมง
กลยุทธ์ที่จำเป็นสำหรับการเปิดร้านออนไลน์
(เรียบเรียงจาก Computer review ฉบับ 189 เดือนพฤษภาคม 2543 )
1. สินค้าต้องน่าสนใจ และมีจำนวนมากพอ เพื่อให้ผู้ใช้รู้สึกเห็นความหลายหลาย และเข้ามาที่ร้านอีก
2. รายละเอียดสินค้าครบถ้วน ตรงตามความจริง ไม่คุยสรรพคุณเกินจริง หรือแอบใส่ไข่ เป็นอันขาด
3. สินค้ามีอยู่จริง และต้องหาให้ลูกค้าได้ทันทีที่สั่งซื้อ
4. การออกแบบเว็บต้องดี น่าดู น่าสนใจ มีลูกเล่นที่ดี
5. การประชาสัมพันธ์ต้องเยี่ยม มีการส่งจดหมายข่าว หรือโฆษณาผ่าน banner exchange
4. การออกแบบเว็บต้องดี น่าดู น่าสนใจ มีลูกเล่นที่ดี
5. การประชาสัมพันธ์ต้องเยี่ยม มีการส่งจดหมายข่าว หรือโฆษณาผ่าน banner exchange
สิ่งที่ควรมีสำหรับการเปิดร้านบนอินเทอร์เน็ต
(เรียบเรียงจาก Computer review ฉบับ 189 เดือนพฤษภาคม 2543)
1. หน้าร้าน และพื้นที่ของร้าน ยิ่งกว้างยิ่งดี (Shop Showing)
2. ต้องมีตะกร้า ซื้อและคำนวณเงินได้ ก่อนจ่ายจริง (Shopping Cart)
3. อีเมล์ตอบรับ เมื่อมีผู้สนใจสั่งสินค้า ควรสั่งให้ทั้งลูกค้า และตัวคุณ(E-Mail response)
4. รับชำระด้วยบัตรเครดิต หลังจากทุกอย่างลงตัว (Credit Card Acception)
5. สถิติ และรายงาน เห็นความก้าวหน้าของเว็บ (Statistic)
6. เทมเพลตการออกแบบ ช่วยให้ออกแบบหน้าร้านได้ง่ายขึ้น (Template)
7. การประชาสัมพันธ์ ต้องถึงกลุ่มลูกค้า (Advertising)
การชำระเงิน
(เรียบเรียงจาก Computer review ฉบับ 189 เดือนพฤษภาคม 2543 )
1. รับชำระเงินสด เมื่อส่งสินค้า
2. รับสินค้าที่ร้าน พร้อมชำระเงินสด
3. พัสดุเก็บเงินปลายทาง
4. การโอนเงิน หรือ เช็ค เข้าบัญชี ก่อนส่งสินค้า
5. ขอผู้ขายติดต่อไปยังผู้ซื้อ หลังสั่งซื้อ เพื่อตกลงกัน
6. การชำระเงินด้วยบัตรเครดิต
ธนาคารที่ให้บริการรับชำระเงินด้วยบัตรเครดิตผ่าน internet
1. asianpay.com :: มีทั้งภาษาไทย และอังกฤษ สำนักงานอยู่เชียงใหม่
2. thaiepay.com :: ทำให้เว็บเรา รับชำระเงินผ่านบัตรเครดิตได้
THAIEPAY เป็นบริการตัดบัตรเครดิตออนไลน์ ที่พัฒนาระบบขึ้นโดยบริษัท โพลาร์ เว็บแอปพลิเคชั่น จำกัด กล่าวคือ หากคุณมีเว็บไซต์ ที่ขายสินค้า หรือบริการออนไลน์ แล้วต้องการอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าของคุณ สามารถจ่ายเงินผ่านระบบออนไลน์ได้ทันทีด้วยบัตรเครดิต คุณสามารถใช้ระบบของ THAIEPAY เป็นตัวกลางในกระบวนการเหล่านี้ได้ เมื่อลูกค้าจ่ายเงินผ่านระบบของเรา เราก็จะจัดส่งเงินเหล่านี้ต่อให้แก่คุณโดยตรง (ปรับปรุง : สิงหาคม 2547)
3. thailandpay.com :: คล้าย thaiepay.com (ตรวจเมื่อ มกราคม 2549 และกันยายน 2551 พบว่าปิดปรับปรุง)
"ระบบชำระเงินผ่านบัตรเครดิตออนไลน์"(Online Payment Gateway) ที่อำนวยความสะดวก ให้ลูกค้าทุกท่านสามารถทำการค้า ผ่านระบบออนไลน์ e-commerce ได้อย่างสะดวกปลอดภัยในราคาที่คุณพึงพอใจโดยท่านสามารถ รับเงินจากบัตรเครดิตของลูกค้าท่านได้โดยตรงผ่านระบบของ Thailand Pay ซึ่งท่านสามารถที่จะจัดการการชำระเงิน จาก ลูกค้าได้อย่างอิสระไม่ว่าจะเป็นการตัดวงเงินหรือการยกเลิกวงเงิน ระบบ E-PAYMENT ของ Thailand Pay เป็นระบบมาตรฐานเดียวกับสถาบันการเงินชั้นนำ ที่ให้ความสะดวกในการ ใช้บริการแก่ท่านโดยที่
- ไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนเป็นบริษัทฯ
- ไม่จำเป็นต้องวางเงินมัดจำ ในการขอใช้บริการ
- ระบบพร้อมใช้งานภายใน 24 ชม. หลังจากที่ลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว
ได้รับคำแนะนำเว็บนี้จาก คุณนิเวช งามสง่า niwechn@yahoo.com 09-7688-200
4. บัตรเครดิต ไทยพาณิชย์ Tel.0-2777-7777 scbcreditcard.com
5. ธนาคารกรุงเทพ Tel.0-2638-4000 bangkokbank.com
6. ธนาคารกรุงไทย Tel.0-2255-2222 ktb.co.th
การพิจารณาอนุมัติการให้มีการตัดบัตรเครดิต
คัดลอกมาจาก http://www.jjshop.com/MES/business.html (ตรวจสอบ jjshop.com เมื่อ กรกฎาคม 47 พบว่าเว็บนี้หายไปแล้ว) ข้อมูลเมื่อ 4 กรกฏาคม 2543
1. จะต้องมีทะเบียนนิติบุคคล เช่น สามัญนิติบุคคล (ร้านค้า) ห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือ บริษัท จำกัด
2. ทุนจดทะเบียน จะไม่ต่ำกว่า 5 แสนบาท (ตัวเลขนี้ เปลี่ยนแปลงตามสถาบันการเงิน บางแห่ง อาจต้องการทุนจดทะเบียนไม่ต่ำกว่า 2 ล้านบาท และหวังว่า จะมีการลดหย่อน ภายในปีนี้)
3. ระยะเวลาในการประกอบการ จนถึงวันพิจารณา จะไม่น้อยกว่า 3 ปี (ตัวเลขนี้ เป็นปัญหากับผู้ประกอบการขนาดเล็ก หรือ ผู้ที่ริเริ่มเข้ามาประกอบธุรกิจ ซึ่งอาจมีการลดหย่อน ภายในปีนี้)
4. จะต้องมีเงินมัดจำ 3-5 หมื่นบาท เป็นเงินฝากประจำ ถอนไม่ได้ เป็นเงินสดค้ำประกันบัญชี
5. ในบางกรณี ทางสถาบันการเงิน จะจัดเจ้าหน้าที่เข้าเยี่ยมเยียน สถานประกอบการของท่าน เพื่อดูความเสี่ยง ในการประกอบธุรกิจของท่าน ต่อสถาบันการเงินนั้น (บุคคลธรรมดา หมดสิทธิ์แน่นอน)
ด้วยกฏเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้น ในปัจจุบัน จะพบได้ว่า จะมีเพียง ผู้ประกอบการขนาดกลางที่มั่นคง เท่านั้น ที่อาจจะผ่านกฏเกณฑ์ข้างต้นดังกล่าว แต่โอกาสแทบจะไม่มี ของผู้ประกอบการขนาดเล็ก หรือบุคคลธรรมดา ที่อยากเริ่มประกอบธุรกิจ โดยอาศัยการบริการตัดบัตรเครดิต จะได้รับการพิจารณาจากสถาบันการเงินในประเทศไทย
JJshop.com จะประกอบด้วย ผู้ประกอบการขนาดเล็ก หรือบุคคลธรรมดา ที่อยากเริ่มประกอบธุรกิจ เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น หนทางของกลุ่มส่วนใหญ่ดังกล่าว คือ การผ่อนคลายกฏเกณฑ์ของสถาบันการเงินในประเทศ หรือ การหันไปใช้ การบริการของต่างประเทศ ที่ไม่ได้เคร่งครัดกฏเกณฑ์ในข้างต้น
2. ทุนจดทะเบียน จะไม่ต่ำกว่า 5 แสนบาท (ตัวเลขนี้ เปลี่ยนแปลงตามสถาบันการเงิน บางแห่ง อาจต้องการทุนจดทะเบียนไม่ต่ำกว่า 2 ล้านบาท และหวังว่า จะมีการลดหย่อน ภายในปีนี้)
3. ระยะเวลาในการประกอบการ จนถึงวันพิจารณา จะไม่น้อยกว่า 3 ปี (ตัวเลขนี้ เป็นปัญหากับผู้ประกอบการขนาดเล็ก หรือ ผู้ที่ริเริ่มเข้ามาประกอบธุรกิจ ซึ่งอาจมีการลดหย่อน ภายในปีนี้)
4. จะต้องมีเงินมัดจำ 3-5 หมื่นบาท เป็นเงินฝากประจำ ถอนไม่ได้ เป็นเงินสดค้ำประกันบัญชี
5. ในบางกรณี ทางสถาบันการเงิน จะจัดเจ้าหน้าที่เข้าเยี่ยมเยียน สถานประกอบการของท่าน เพื่อดูความเสี่ยง ในการประกอบธุรกิจของท่าน ต่อสถาบันการเงินนั้น (บุคคลธรรมดา หมดสิทธิ์แน่นอน)
ด้วยกฏเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้น ในปัจจุบัน จะพบได้ว่า จะมีเพียง ผู้ประกอบการขนาดกลางที่มั่นคง เท่านั้น ที่อาจจะผ่านกฏเกณฑ์ข้างต้นดังกล่าว แต่โอกาสแทบจะไม่มี ของผู้ประกอบการขนาดเล็ก หรือบุคคลธรรมดา ที่อยากเริ่มประกอบธุรกิจ โดยอาศัยการบริการตัดบัตรเครดิต จะได้รับการพิจารณาจากสถาบันการเงินในประเทศไทย
JJshop.com จะประกอบด้วย ผู้ประกอบการขนาดเล็ก หรือบุคคลธรรมดา ที่อยากเริ่มประกอบธุรกิจ เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น หนทางของกลุ่มส่วนใหญ่ดังกล่าว คือ การผ่อนคลายกฏเกณฑ์ของสถาบันการเงินในประเทศ หรือ การหันไปใช้ การบริการของต่างประเทศ ที่ไม่ได้เคร่งครัดกฏเกณฑ์ในข้างต้น
วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2553
วิธีการสร้าง e-commerce
เขียนโดย Gig | ที่ 23:28 | 0 ความคิดเห็นe-Commerce ทำอย่างไร
บริการตั้งร้านค้า ในอินเทอร์เน็ต
1. พื้นที่ตั้งร้านบน net ฟรี จาก free hosting แสดงสินค้า แล้วให้ลูกค้า มาติดต่อขอซื้อมา
2. พื้นที่ตั้งร้านบน net ฟรี จาก free hosting ที่บริการ e-Commerce พร้อม shopping cart
3. พื้นที่แบบเสียเงิน แต่ไม่รับชำระผ่านระบบบัตรเครดิต เนื่องจากยุ่งยาก และมีเรื่องค่าใช้จ่ายเข้ามา
4. พื้นที่แบบเสียเงิน พร้อมเข้าระบบรับชำระผ่านบัตรเครดิตที่สมบูรณ์ เพราะหวังขายได้มาก ๆ เปิดช่องทางกว้างขึ้น
บริการตั้งร้านค้า ในอินเทอร์เน็ต
1. พื้นที่ตั้งร้านบน net ฟรี จาก free hosting แสดงสินค้า แล้วให้ลูกค้า มาติดต่อขอซื้อมา
2. พื้นที่ตั้งร้านบน net ฟรี จาก free hosting ที่บริการ e-Commerce พร้อม shopping cart
3. พื้นที่แบบเสียเงิน แต่ไม่รับชำระผ่านระบบบัตรเครดิต เนื่องจากยุ่งยาก และมีเรื่องค่าใช้จ่ายเข้ามา
4. พื้นที่แบบเสียเงิน พร้อมเข้าระบบรับชำระผ่านบัตรเครดิตที่สมบูรณ์ เพราะหวังขายได้มาก ๆ เปิดช่องทางกว้างขึ้น
เรื่องน่าคิดอื่น ๆ ก่อนทำ e-Commerce
1. ขายอะไร (ผมเองก็ติดปัญหาเรื่องนี้ เพราะไม่รู้จะขายอะไร ที่เหมาะสมกับตัวที่สุด .. จึงยังไม่ขาย) ธุรกิจที่น่าสนใจในปัจจุบัน เช่น ดอกไม้, Hand-make, หนังสือ, CDเพลง, โปรแกรม, ให้เช่า server, รับโฆษณา หรือเข้าไปดูที่ shoppingthai.com ก็ได้ครับ
2. จด Domain Name และจดกับใคร
2.1 จด .com หรือ .net หรือ .co.th
2.2 จดกับผู้ให้บริการจดชาวไทย หรือชาวต่างชาติดี
3. เป็น SME (Small and Medium Enterprises) เพื่อรับความช่วยเหลือจากภาครัฐ และจะตั้งเป็นบริษัท หรือไม่
4. ระบบ stock เป็นอย่างไร เช่นฝากสินค้า หรือขนถ่ายสินค้าสะดวกไห
5. ภาษีคิดอย่างไร ทั้งในและต่างประเทศ
6. ระบบเงินตราที่ขายสินค้าเป็นบาท dollar หรือบาท
7. ราคาขาย เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ต้องกำหนดให้เหมาะสม ไม่ถูกหรือแพงเกินไป และต้องมีเหตุผล อธิบายเสมอ
8. ทำเอง หรือให้ผู้เชี่ยวชาญที่เขาให้บริการ ครบวงจร
9. การขนส่งคิดค่าใช้จ่ายอย่างไร (ตามน้ำหนัก ตามระยะทาง ตามมูลค่า หรือตามขนาด)
10.ความปลอดภัย (ถ้าไม่รับเรื่องบัตรเครดิต หรือไม่ serius เรื่องความลับก็ไม่ต้องสนใจก็ได้ครับ)
1.) SSL (Secure Socket Layer) จะเข้ารหัสก่อนส่ง ไปให้ผู้บริการ เป็นระบบที่นิยมกันมาก และใช้ key เฉพาะจากผู้ส่งเท่านั้น แต่มีจุดบกพร่อมของระบบที่ ข้อมูลที่ถูกเข้ารหัสแล้ว เมื่อส่งไปยังปลายทางจะถูกถอดรหัส เป็นเลขบัตรเครดิตให้เห็น ซึ่งอาจถูก hack ข้อมูลไปได้
2.) SET (Secure Electronic Transactions) เป็นระบบที่ปลอดภัยมาก เพราะผู้ซื้อ และผู้ขาย ต่างก็มีรหัสที่ต้องขอจากหน่วยงานกลาง เพื่อยืนยันการทำธุรกรรม (Certification Autority : CA) ร้านค้าจะได้รับเฉพาะข้อมูลการสั่งซื้อ ส่วนรหัสบัตร ร้านค้าจะไม่ทราบ แต่จะส่งไปให้ธนาคารโดยตรง (ปัจจุบัน ค่าใช้จ่ายของระบบนี้ยังสูงอยู่)
11.เลือกรูปแบบของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (ท่านอาจทำทุกรูปแบบ หรือแบบใดแบบหนึ่ง)
รูปแบบที่ 1: B-to-B (Business to Business) เป็นการค้าระหว่างองค์กร หรือบริษัท (ปริมาณขายต่อครั้งจะมาก)
รูปแบบที่ 2: B-to-C (Business to Consumer) เป็นการค้าจากองค์กร สู่ลูกค้าบุคคล (ค้าส่งขนาดย่อม ประมาณพอประมาณ)
รูปแบบที่ 3: C-to-C (Consumer to Consumer) เป็นการค้าระหว่างบุคคล ถึง บุคคล (ค้าปลีก ปกติปริมาณขายจะน้อย)
รูปแบบที่ 4: G-to-C (Government to Consumer) เป็นการค้าระหว่างภาครัฐ กับผู้บริโภค (การให้บริการประชาชน)
รูปแบบที่ 5: G-to-B (Government to Business) เป็นการค้าระหว่างภาครัฐ กับองค์กร (ปริมาณการค้ามาก)
1. ขายอะไร (ผมเองก็ติดปัญหาเรื่องนี้ เพราะไม่รู้จะขายอะไร ที่เหมาะสมกับตัวที่สุด .. จึงยังไม่ขาย) ธุรกิจที่น่าสนใจในปัจจุบัน เช่น ดอกไม้, Hand-make, หนังสือ, CDเพลง, โปรแกรม, ให้เช่า server, รับโฆษณา หรือเข้าไปดูที่ shoppingthai.com ก็ได้ครับ
2. จด Domain Name และจดกับใคร
2.1 จด .com หรือ .net หรือ .co.th
2.2 จดกับผู้ให้บริการจดชาวไทย หรือชาวต่างชาติดี
3. เป็น SME (Small and Medium Enterprises) เพื่อรับความช่วยเหลือจากภาครัฐ และจะตั้งเป็นบริษัท หรือไม่
4. ระบบ stock เป็นอย่างไร เช่นฝากสินค้า หรือขนถ่ายสินค้าสะดวกไห
5. ภาษีคิดอย่างไร ทั้งในและต่างประเทศ
6. ระบบเงินตราที่ขายสินค้าเป็นบาท dollar หรือบาท
7. ราคาขาย เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ต้องกำหนดให้เหมาะสม ไม่ถูกหรือแพงเกินไป และต้องมีเหตุผล อธิบายเสมอ
8. ทำเอง หรือให้ผู้เชี่ยวชาญที่เขาให้บริการ ครบวงจร
9. การขนส่งคิดค่าใช้จ่ายอย่างไร (ตามน้ำหนัก ตามระยะทาง ตามมูลค่า หรือตามขนาด)
10.ความปลอดภัย (ถ้าไม่รับเรื่องบัตรเครดิต หรือไม่ serius เรื่องความลับก็ไม่ต้องสนใจก็ได้ครับ)
1.) SSL (Secure Socket Layer) จะเข้ารหัสก่อนส่ง ไปให้ผู้บริการ เป็นระบบที่นิยมกันมาก และใช้ key เฉพาะจากผู้ส่งเท่านั้น แต่มีจุดบกพร่อมของระบบที่ ข้อมูลที่ถูกเข้ารหัสแล้ว เมื่อส่งไปยังปลายทางจะถูกถอดรหัส เป็นเลขบัตรเครดิตให้เห็น ซึ่งอาจถูก hack ข้อมูลไปได้
2.) SET (Secure Electronic Transactions) เป็นระบบที่ปลอดภัยมาก เพราะผู้ซื้อ และผู้ขาย ต่างก็มีรหัสที่ต้องขอจากหน่วยงานกลาง เพื่อยืนยันการทำธุรกรรม (Certification Autority : CA) ร้านค้าจะได้รับเฉพาะข้อมูลการสั่งซื้อ ส่วนรหัสบัตร ร้านค้าจะไม่ทราบ แต่จะส่งไปให้ธนาคารโดยตรง (ปัจจุบัน ค่าใช้จ่ายของระบบนี้ยังสูงอยู่)
11.เลือกรูปแบบของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (ท่านอาจทำทุกรูปแบบ หรือแบบใดแบบหนึ่ง)
รูปแบบที่ 1: B-to-B (Business to Business) เป็นการค้าระหว่างองค์กร หรือบริษัท (ปริมาณขายต่อครั้งจะมาก)
รูปแบบที่ 2: B-to-C (Business to Consumer) เป็นการค้าจากองค์กร สู่ลูกค้าบุคคล (ค้าส่งขนาดย่อม ประมาณพอประมาณ)
รูปแบบที่ 3: C-to-C (Consumer to Consumer) เป็นการค้าระหว่างบุคคล ถึง บุคคล (ค้าปลีก ปกติปริมาณขายจะน้อย)
รูปแบบที่ 4: G-to-C (Government to Consumer) เป็นการค้าระหว่างภาครัฐ กับผู้บริโภค (การให้บริการประชาชน)
รูปแบบที่ 5: G-to-B (Government to Business) เป็นการค้าระหว่างภาครัฐ กับองค์กร (ปริมาณการค้ามาก)
ให้บริการจัดตั้ง e-Commerce website
Shoppingthailand.com (ชมรม OTOP Thailand)
weloveshopping.com (TRUE)
Bigstep.com
Freemerchant.com
Payaftersale.com
Vstore.com
Econgo.com
Bizland.com
Yahoo.com
veloshopping.com
velocall.com
เว็บไทย
thaitradepoint.com (Ecommerce ลูกทุ่งที่น่าจับตาของเชียงใหม่)
ECommerce.or.th (ให้ข้อมูลที่ดีมาก)
ประมูล.คอม (รับนำสินค้าไปประมูล)
thbuy.com (จำหน่ายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์)
Ecombot.com (รับวาง Host และค้าขาย)
Thailandbest.com (รับวาง Host และค้าขาย)
Siam-e-Commerce.com
Siamweb.com
Thaiecommerce.net (กระทรวงพาณิชย์)
weloveshopping.com (TRUE)
Bigstep.com
Freemerchant.com
Payaftersale.com
Vstore.com
Econgo.com
Bizland.com
Yahoo.com
veloshopping.com
velocall.com
เว็บไทย
thaitradepoint.com (Ecommerce ลูกทุ่งที่น่าจับตาของเชียงใหม่)
ECommerce.or.th (ให้ข้อมูลที่ดีมาก)
ประมูล.คอม (รับนำสินค้าไปประมูล)
thbuy.com (จำหน่ายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์)
Ecombot.com (รับวาง Host และค้าขาย)
Thailandbest.com (รับวาง Host และค้าขาย)
Siam-e-Commerce.com
Siamweb.com
Thaiecommerce.net (กระทรวงพาณิชย์)
เว็บต่างประเทศ
Networksolutions (รับจดชื่อ domain)
NASDAQ (แสดงราคาหุ้น web ที่เข้าตลาดหุ้น)
YAHOO (รับตั้งร้านใน internet)
Amazon (ขายหนังสือ)
Barnesandnoble (ขายหนังสือ)
Ebay (ประมูล Online)
Apartment
Shopping
CDnow
List by yahoo (มากกว่า 5000 เว็บ)
Networksolutions (รับจดชื่อ domain)
NASDAQ (แสดงราคาหุ้น web ที่เข้าตลาดหุ้น)
YAHOO (รับตั้งร้านใน internet)
Amazon (ขายหนังสือ)
Barnesandnoble (ขายหนังสือ)
Ebay (ประมูล Online)
Apartment
Shopping
CDnow
List by yahoo (มากกว่า 5000 เว็บ)
ความหมายของ e-commerce
เขียนโดย Gig | ที่ 23:02 | 0 ความคิดเห็นe-Commerce คืออะไร
- พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การดำเนินธุรกิจ โดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ (ECRC Thailand,1999) - พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การผลิต การกระจาย การตลาด การขาย หรือการขนส่งผลิตภัณฑ์ และบริการโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ (WTO,1998)
- พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ ขบวนการที่ใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อทำธุรกิจที่จะบรรลุเป้าหมายขององค์กร พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ใช้เทคโนโลยีประเภทต่าง ๆ และตรอบคลุมรูปแบบทางการเงินทั้งหลาย เช่น ธนาคารอิเล็กทรอนิกส์, การค้าอิเล็กทรอนิกส์, อีดีไอหรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์, ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์, โทรสาร, คะตะล้อกอิเล็กทรอนิกส์, การประชุมทางไกล และรูปแบบต่าง ๆ ที่เป็นข้อมูลระหว่างองค์กร (ESCAP,1998)
- พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ ธุรกรรมทุกรูปแบบที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมเชิงพาณิชย์ ทั้งในระดับองค์กร และส่วนบุคคล บนพื้นฐานของการประมวล และการส่งข้อมูลดิจิทัล ที่มีทั้งข้อความ เสียง และภาพ (OECD,1997)
- พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การทำธุรกิจทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งขึ้นอยู่กับการประมวล และการส่งข้อมูลที่มีข้อความ เสียง และภาพ ประเภทของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการขายสินค้า และบริการด้วยสื่ออิเล็กทรอนิกส์, การขนส่งผลิตภัณฑ์ที่เป็นเนื้อหาข้อมูลแบบดิจิทัลในระบบออนไลน์, การโอนเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์, การจำหน่วยหุ้นทางอิเล็กทรอนิกส์, การประมูล, การออกแบบทางวิศวกรรมร่วมกัน, การจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ, การขายตรง, การให้บริการหลังการขาย ทั้งนี้ใช้กับสินค้า (เช่น สินค้าบริโภค, อุปกรณ์ทางการแพทย์) และบริการ (เช่น บริการขายข้อมูล, บริการด้านการเงิน, บริการด้าน กฎหมาย) รวมทั้งกิจการทั่วไป (เช่น สาธารณสุข, การศึกษา, ศูนย์การค้าเสมือน (Virtual Mall) (European union,1997)
- พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic commerce) หรือ อี-คอมเมิร์ช (E-Commerce) คือ การทำธุรกรรมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ในทุกช่องทางที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์ เช่น การซื้อขายสินค้าและบริการ การโฆษณาผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ โทรทัศน์ วิทยุ หรือแม้แต่อินเทอร์เน็ต เป็นต้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดค่าใช้จ่าย และเพื่มประสิทธิภาพขององค์กร โดยการลดบทบาทองค์ประกอบทางธุรกิจลง เช่น ทำเลที่ตั้ง อาคารประกอบการ โกดังเก็บสินค้า ห้องแสดงสินค้า รวมถึงพนักงานขาย พนักงานแนะนำสินค้า พนักงานต้อนรับลูกค้า เป็นต้น จึงลดข้อจำกัดของระยะทาง และเวลาลงได้
- Electronic commerce, commonly known as e-commerce or eCommerce, consists of the buying and selling of products or services over electronic systems such as the Internet and other computer networks. The amount of trade conducted electronically has grown dramatically since the wide introduction of the Internet. A wide variety of commerce is conducted in this way, including things such as electronic funds transfer, supply chain management, e-marketing, online marketing, online transaction processing, electronic data interchange (EDI), automated inventory management systems, and automated data collection systems. Modern electronic commerce typically uses the World Wide Web at at least some point in the transaction's lifecycle, although it can encompass a wide range of technologies such as e-mail as well.
กระบวนการพื้นฐาน (Basic Process) เกี่ยวกับพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
1. ลูกค้า เลือกรายการสินค้า ของผู้จำหน่าย (Catalog)
2. ลูกค้า ส่งคำสั่งซื้อ ให้ผู้จำหน่าย (Order)
3. ลูกค้า ชำระเงิน ให้ผู้จำหน่าย (Payment)
4. ลูกค้า รอรับสินค้า จากผู้จำหน่าย (Shipping)
e-Commerce ช่วยอำนวยความสะดวกให้นักธุรกิจได้หลายด้าน
(เรียบเรียงจาก e-Commerce และกลยุทธ์การทำเงิน โดย วัชระพงศ์ ยะไวทย์ สำนักพิมพ์ซีเอ็ด หน้า 20)
1. ทำงานแทนพนักงานขายได้ โดยสามารถทำการค้าแบบอัตโนมัติ ได้อย่างรวดเร็ว
2. ทำให้เปิดหน้าร้านขายของ ให้คนทั่วโลกได้ และเปิดขายได้ทุกวันโดยไม่มีวันหยุดตลอด 24 ชั่วโมง
3. เก็บเงิน และนำฝาก เข้าบัญชีให้คุณได้โดยอัตโนมัติ
4. ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย ในการจัดพิมพ์แคตาล็อก (กระดาษ) ออกมาเป็นเล่ม ๆ และไม่ต้องมาเสียเงิน และเวลาในการจัดส่งให้ลูกค้าทางไปรษณีย์อีก
5. แทนได้ทั้งหน้าร้าน (Showroom) หรือบูท (Booth) แสดงสินค้าของคุณที่มีคนทั่วโลกมองเห็น ไม่ต้องเสียค่าเครื่องบิน ไปออกงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ
6. แทน และเพิ่มประสิทธิภาพ การบริหารธุรกิจ ภายในของเราได้อีกมากมาย
หัวข้อให้คิด ที่ส่งผลให้การทำ e-Commerce สำเร็จ
1. สำรวจ (Research) :: สำรวจตลาดบ่อยเพียงใด เพื่อประเมินคู่แข่ง ตนเอง และลูกค้า
2. วางแผน (Planning) :: กำหนด Gantt chart เพื่อติดตั้งระบบ แผนลงทุน และแผนคืนทุน
3. เงินทุน (Loan) :: ต้องใช้เงินทุนทั้งหมดเท่าไร หาได้ที่ไหน คืนอย่างไร
4. จ่ายเงิน (Payment) :: แผนรับชำระเงิน เช่น โอนผ่านตู้เอทีเอ็ม พกง. เพย์พาล เคาน์เตอร์ธนาคาร ดร๊าฟธนาคาร บัตรเครดิต ตั๋วเงินรับ เช็คส่วนบุคคล การโอนทางโทรเลข
5. ขนส่ง (Transport) :: สินค้าจะจัดส่งให้ถึงมือลูกค้าอย่างไร เช่น Fedex, DHL, Logistic เป็นต้น
6. สินค้า (Product) :: ความน่าสนใจของสินค้า ขายแล้วจะมีคนซื้อ หรือไม่
7. ราคา (Price) :: ราคาที่จะส่งผลถึงกำไร จากการสั่งซื้อแต่ละครั้งมากพอ หรือไม่
8. สถานที่ (Place) :: ขายให้คนไทย หรือต่างชาติ ที่พักสินค้า ร้านตั้งที่ไหน
9. โฆษณา (Promotion) :: มีแผนโฆษณาอย่างไร และจะใช้วิธีการใดบ้าง
10. คลังสินค้า (Stock) :: ระบบจัดการคลังสินค้า ควบคุมอย่างไร
11. เวลา (Time) :: ประเมินระยะเวลาตั้งแต่สั่งซื้อ ส่งสินค้า และได้รับเงิน ทั้งหมดกี่วัน
12. ผิดพลาด (Error) :: ส่งไปแล้วไม่มีผู้รับ ไม่ได้รับเงิน ส่งไม่ทัน ไม่ได้มาตรฐานทำอย่างไร
13. สำนักงาน (Office) :: มีพนักงานกี่คน ลงทุนอะไรบ้าง ที่ตั้งสำนักงาน และแหล่งสินค้า
14. หีบห่อ (Package) :: คำสั่งซื้อจะมาพร้อมรูปแบบสินค้า และลักษณะหีบห่อ ยืดหยุ่นหรือไม่
15. เทคนิค (Technique) :: รายละเอียดของระบบที่ใช้ เพื่อให้เกิดการซื้อขายได้ เป็นแบบใด
16. ออกแบบ (Design) :: ออกแบบผลิตภัณฑ์ หรือหน้าร้านได้น่าสนใจหรือไม่
17. ความปลอดภัย (Security) :: ทุกระบบต้องรองรับการโจมตีจากผู้ไม่หวังดีได้ทุกรูปแบบ
19. ขนาด (Size) :: ขนาดระบบ เช่น รองรับจำนวนลูกค้า การสั่งซื้อ หรือสินค้าได้เพียงใด
20. การควบคุม (Controlling) :: การควบคุมกระบวนการทั้งหมด ให้ดำเนินไปอย่างถูกต้อง
21. สำรอง (Backup) :: แผนสำรองข้อมูล ในกรณีที่ระบบล้ม หรือผู้ให้บริการเว็บไซต์ยกเลิก
22. ภาษี (Tax) :: เข้าใจกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ ในประเทศ และกฎหมายด้าน IT
ข้อมูลจาก:
เอกสารเผยแพร่ ศูนย์พัฒนาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Commerce Resource Center) (http://www.ecommerce.or.th e-mail: webmaster-ecrc@nectec.or.th) + ความหมายของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce Meaning) + ทิศทาง e-Commerce กับการคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ
- พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การดำเนินธุรกิจ โดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ (ECRC Thailand,1999) - พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การผลิต การกระจาย การตลาด การขาย หรือการขนส่งผลิตภัณฑ์ และบริการโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ (WTO,1998)
- พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ ขบวนการที่ใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อทำธุรกิจที่จะบรรลุเป้าหมายขององค์กร พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ใช้เทคโนโลยีประเภทต่าง ๆ และตรอบคลุมรูปแบบทางการเงินทั้งหลาย เช่น ธนาคารอิเล็กทรอนิกส์, การค้าอิเล็กทรอนิกส์, อีดีไอหรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์, ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์, โทรสาร, คะตะล้อกอิเล็กทรอนิกส์, การประชุมทางไกล และรูปแบบต่าง ๆ ที่เป็นข้อมูลระหว่างองค์กร (ESCAP,1998)
- พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ ธุรกรรมทุกรูปแบบที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมเชิงพาณิชย์ ทั้งในระดับองค์กร และส่วนบุคคล บนพื้นฐานของการประมวล และการส่งข้อมูลดิจิทัล ที่มีทั้งข้อความ เสียง และภาพ (OECD,1997)
- พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การทำธุรกิจทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งขึ้นอยู่กับการประมวล และการส่งข้อมูลที่มีข้อความ เสียง และภาพ ประเภทของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการขายสินค้า และบริการด้วยสื่ออิเล็กทรอนิกส์, การขนส่งผลิตภัณฑ์ที่เป็นเนื้อหาข้อมูลแบบดิจิทัลในระบบออนไลน์, การโอนเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์, การจำหน่วยหุ้นทางอิเล็กทรอนิกส์, การประมูล, การออกแบบทางวิศวกรรมร่วมกัน, การจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ, การขายตรง, การให้บริการหลังการขาย ทั้งนี้ใช้กับสินค้า (เช่น สินค้าบริโภค, อุปกรณ์ทางการแพทย์) และบริการ (เช่น บริการขายข้อมูล, บริการด้านการเงิน, บริการด้าน กฎหมาย) รวมทั้งกิจการทั่วไป (เช่น สาธารณสุข, การศึกษา, ศูนย์การค้าเสมือน (Virtual Mall) (European union,1997)
- พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic commerce) หรือ อี-คอมเมิร์ช (E-Commerce) คือ การทำธุรกรรมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ในทุกช่องทางที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์ เช่น การซื้อขายสินค้าและบริการ การโฆษณาผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ โทรทัศน์ วิทยุ หรือแม้แต่อินเทอร์เน็ต เป็นต้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดค่าใช้จ่าย และเพื่มประสิทธิภาพขององค์กร โดยการลดบทบาทองค์ประกอบทางธุรกิจลง เช่น ทำเลที่ตั้ง อาคารประกอบการ โกดังเก็บสินค้า ห้องแสดงสินค้า รวมถึงพนักงานขาย พนักงานแนะนำสินค้า พนักงานต้อนรับลูกค้า เป็นต้น จึงลดข้อจำกัดของระยะทาง และเวลาลงได้
- Electronic commerce, commonly known as e-commerce or eCommerce, consists of the buying and selling of products or services over electronic systems such as the Internet and other computer networks. The amount of trade conducted electronically has grown dramatically since the wide introduction of the Internet. A wide variety of commerce is conducted in this way, including things such as electronic funds transfer, supply chain management, e-marketing, online marketing, online transaction processing, electronic data interchange (EDI), automated inventory management systems, and automated data collection systems. Modern electronic commerce typically uses the World Wide Web at at least some point in the transaction's lifecycle, although it can encompass a wide range of technologies such as e-mail as well.
กระบวนการพื้นฐาน (Basic Process) เกี่ยวกับพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
1. ลูกค้า เลือกรายการสินค้า ของผู้จำหน่าย (Catalog)
2. ลูกค้า ส่งคำสั่งซื้อ ให้ผู้จำหน่าย (Order)
3. ลูกค้า ชำระเงิน ให้ผู้จำหน่าย (Payment)
4. ลูกค้า รอรับสินค้า จากผู้จำหน่าย (Shipping)
e-Commerce ช่วยอำนวยความสะดวกให้นักธุรกิจได้หลายด้าน
(เรียบเรียงจาก e-Commerce และกลยุทธ์การทำเงิน โดย วัชระพงศ์ ยะไวทย์ สำนักพิมพ์ซีเอ็ด หน้า 20)
1. ทำงานแทนพนักงานขายได้ โดยสามารถทำการค้าแบบอัตโนมัติ ได้อย่างรวดเร็ว
2. ทำให้เปิดหน้าร้านขายของ ให้คนทั่วโลกได้ และเปิดขายได้ทุกวันโดยไม่มีวันหยุดตลอด 24 ชั่วโมง
3. เก็บเงิน และนำฝาก เข้าบัญชีให้คุณได้โดยอัตโนมัติ
4. ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย ในการจัดพิมพ์แคตาล็อก (กระดาษ) ออกมาเป็นเล่ม ๆ และไม่ต้องมาเสียเงิน และเวลาในการจัดส่งให้ลูกค้าทางไปรษณีย์อีก
5. แทนได้ทั้งหน้าร้าน (Showroom) หรือบูท (Booth) แสดงสินค้าของคุณที่มีคนทั่วโลกมองเห็น ไม่ต้องเสียค่าเครื่องบิน ไปออกงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ
6. แทน และเพิ่มประสิทธิภาพ การบริหารธุรกิจ ภายในของเราได้อีกมากมาย
หัวข้อให้คิด ที่ส่งผลให้การทำ e-Commerce สำเร็จ
1. สำรวจ (Research) :: สำรวจตลาดบ่อยเพียงใด เพื่อประเมินคู่แข่ง ตนเอง และลูกค้า
2. วางแผน (Planning) :: กำหนด Gantt chart เพื่อติดตั้งระบบ แผนลงทุน และแผนคืนทุน
3. เงินทุน (Loan) :: ต้องใช้เงินทุนทั้งหมดเท่าไร หาได้ที่ไหน คืนอย่างไร
4. จ่ายเงิน (Payment) :: แผนรับชำระเงิน เช่น โอนผ่านตู้เอทีเอ็ม พกง. เพย์พาล เคาน์เตอร์ธนาคาร ดร๊าฟธนาคาร บัตรเครดิต ตั๋วเงินรับ เช็คส่วนบุคคล การโอนทางโทรเลข
5. ขนส่ง (Transport) :: สินค้าจะจัดส่งให้ถึงมือลูกค้าอย่างไร เช่น Fedex, DHL, Logistic เป็นต้น
6. สินค้า (Product) :: ความน่าสนใจของสินค้า ขายแล้วจะมีคนซื้อ หรือไม่
7. ราคา (Price) :: ราคาที่จะส่งผลถึงกำไร จากการสั่งซื้อแต่ละครั้งมากพอ หรือไม่
8. สถานที่ (Place) :: ขายให้คนไทย หรือต่างชาติ ที่พักสินค้า ร้านตั้งที่ไหน
9. โฆษณา (Promotion) :: มีแผนโฆษณาอย่างไร และจะใช้วิธีการใดบ้าง
10. คลังสินค้า (Stock) :: ระบบจัดการคลังสินค้า ควบคุมอย่างไร
11. เวลา (Time) :: ประเมินระยะเวลาตั้งแต่สั่งซื้อ ส่งสินค้า และได้รับเงิน ทั้งหมดกี่วัน
12. ผิดพลาด (Error) :: ส่งไปแล้วไม่มีผู้รับ ไม่ได้รับเงิน ส่งไม่ทัน ไม่ได้มาตรฐานทำอย่างไร
13. สำนักงาน (Office) :: มีพนักงานกี่คน ลงทุนอะไรบ้าง ที่ตั้งสำนักงาน และแหล่งสินค้า
14. หีบห่อ (Package) :: คำสั่งซื้อจะมาพร้อมรูปแบบสินค้า และลักษณะหีบห่อ ยืดหยุ่นหรือไม่
15. เทคนิค (Technique) :: รายละเอียดของระบบที่ใช้ เพื่อให้เกิดการซื้อขายได้ เป็นแบบใด
16. ออกแบบ (Design) :: ออกแบบผลิตภัณฑ์ หรือหน้าร้านได้น่าสนใจหรือไม่
17. ความปลอดภัย (Security) :: ทุกระบบต้องรองรับการโจมตีจากผู้ไม่หวังดีได้ทุกรูปแบบ
19. ขนาด (Size) :: ขนาดระบบ เช่น รองรับจำนวนลูกค้า การสั่งซื้อ หรือสินค้าได้เพียงใด
20. การควบคุม (Controlling) :: การควบคุมกระบวนการทั้งหมด ให้ดำเนินไปอย่างถูกต้อง
21. สำรอง (Backup) :: แผนสำรองข้อมูล ในกรณีที่ระบบล้ม หรือผู้ให้บริการเว็บไซต์ยกเลิก
22. ภาษี (Tax) :: เข้าใจกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ ในประเทศ และกฎหมายด้าน IT
ข้อมูลจาก:
เอกสารเผยแพร่ ศูนย์พัฒนาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Commerce Resource Center) (http://www.ecommerce.or.th e-mail: webmaster-ecrc@nectec.or.th) + ความหมายของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce Meaning) + ทิศทาง e-Commerce กับการคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ
วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2553
กิจกรรมวันครู ที่ อาชีวศึกษาจังหวัดร้อยเอ็ด
เขียนโดย Gig | ที่ 00:43 | 1 ความคิดเห็น



วันนี้ 16 มกราคม 2553 วันครู เวลา 8.00 น. ณ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีร้อยเอ็ด อาชีวศึกษาจังหวัดร้อยเอ็ด ประกอบด้วย วิทยาลัยเทคนิคร้อยเอ็ด วิทยาลัยอาชีวศึกษาร้อยเอ็ด วิทยาลัยการอาชีพร้อยเอ็ด วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีร้อยเอ็ด วิทยาลัยการอาชีพโพนทอง วิทยาลัยการอาชีพพนมไพร วิทยาลัยการอาชีพเกษตรวิสัยและวิทยาลัยเทคนิคสุวรรณภูมิ โดยท่าน ผอ.อดุลชัย โคตะวีระ ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคร้อยเอ็ด ประธานอาชีวศึกษาจังหวัดร้อยเอ็ด ได้จัดงานวันครู 2553 "น้อมจิตวันทา บูชาครู กตัญญูกตเวที" อาชีวศึกษาจังหวัดร้อยเอ็ด
ผู้บริหาร ครูและแขกผู้มีเกียรติพร้อมกันที่หอประชุมกลาง หลังจากนั้น นายธวัชชัย ฟักอังกูล ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด ประธานในพิธีจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย พิธีกรนำสวดมนต์ นายสุทัศน์ สมุทรศรี ผู้อำนวยการวิทยาลัยการอาชีพร้อยเอ็ด กล่าวนำสวดคำฉันท์ ระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์และเชิญชวนผู้ร่วมพิธีสงบนิ่ง 1 นาที นายวิทยา ชิณโย ผู้อำนวยการวิทยาลัยอาชีวศึกษาร้อยเอ็ด นำกล่าวปฏิญาณตน นายสมศักดิ์ ปาละจูม ผู้อำนวยการวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีร้อยเอ็ด อ่านสารนายกรัฐมนตรี จากนั้น นายอดุลชัย โคตะวีระ ประธานอาชีวศึกษาจังหวัดร้อยเอ็ด กล่าวรายงานต่อประธานในพิธี และมอบเกียรติบัตรให้ครูดีเด่น
หลังจากพิธีที่หอประชุมเสร็จเรียบร้อย จากนั้นเป็นการแข่งขันกีฬา เพื่อเชื่อมความสัมพันธไมตรีระหว่าง ผู้บริหาร ครู สังกัด อาชีวศึกษาจังหวัดร้อยเอ็ด
ผู้บริหาร ครูและแขกผู้มีเกียรติพร้อมกันที่หอประชุมกลาง หลังจากนั้น นายธวัชชัย ฟักอังกูล ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด ประธานในพิธีจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย พิธีกรนำสวดมนต์ นายสุทัศน์ สมุทรศรี ผู้อำนวยการวิทยาลัยการอาชีพร้อยเอ็ด กล่าวนำสวดคำฉันท์ ระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์และเชิญชวนผู้ร่วมพิธีสงบนิ่ง 1 นาที นายวิทยา ชิณโย ผู้อำนวยการวิทยาลัยอาชีวศึกษาร้อยเอ็ด นำกล่าวปฏิญาณตน นายสมศักดิ์ ปาละจูม ผู้อำนวยการวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีร้อยเอ็ด อ่านสารนายกรัฐมนตรี จากนั้น นายอดุลชัย โคตะวีระ ประธานอาชีวศึกษาจังหวัดร้อยเอ็ด กล่าวรายงานต่อประธานในพิธี และมอบเกียรติบัตรให้ครูดีเด่น
หลังจากพิธีที่หอประชุมเสร็จเรียบร้อย จากนั้นเป็นการแข่งขันกีฬา เพื่อเชื่อมความสัมพันธไมตรีระหว่าง ผู้บริหาร ครู สังกัด อาชีวศึกษาจังหวัดร้อยเอ็ด
ประวัติ ความเป็นมาของ "วันครู" 16 มกราคม
เขียนโดย Gig | ที่ 00:08 | 0 ความคิดเห็น
ในวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499 คณะรัฐมนตรีมีมติให้วันที่ 16 มกราคมของทุกๆ ปี เป็น "วันครู" และการจัดงานวันครู ได้มีขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2500 และให้ดำเนินเรื่อยมาทุกปี นับตั้งแต่บัดนั้นมา โดยจัดให้มีขึ้นพร้อมกันทั่วประเทศ ความหมายของครู
ครู หมายถึง ผู้อบรมสั่งสอน ผู้ถ่ายทอดความรู้ ผู้สร้างสรรค์ภูมิปัญญา และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองของสังคมและประเทศชาติ
ความสำคัญของครู
ในชีวิตของคนเราถือว่า บิดามารดา เป็นผู้มีพระคุณอันสูงสุด เพราะท่านเป็นผู้ให้ชีวิต ให้ความรัก ให้ความเมตตา มีความห่วงใย และเสียสละเพื่อลูก นอกจาก บิดามารดา แล้ว ก็มีครูเป็นผู้มีพระคุณคล้าย บิดามารดา คือ เป็นผู้อบรมสั่งสอนถ่ายทอดวิชาความรู้ให้ รวมทั้งให้ความรัก ความเมตตาต่อศิษย์ทุกคน นับได้ว่าครูเป็นผู้เสียสละที่ไม่แพ้บุพการี ครูจึงนับเป็นปูชนียบุคคลที่มีความสำคัญอย่างมาก ในการให้การศึกษาเรียนรู้ ทั้งในด้านวิชาการ และประสบการณ์ ตลอดเป็นผู้มีความเสียสละ ดูแลเอาใจใส่ สั่งสอนอบรมให้เด็กได้พบกับแสงสว่างแห่งปัญญา อันเป็นหนทางแห่งการประกอบอาชีพเลี้ยงดูตนเอง รวมทั้งนำพาสังคมประเทศชาติ ก้าวไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ฉะนั้นวันที่ 6 ตุลาคม จึงได้เป็นวันครูสากล เพื่อคนที่เป็นครูทั่วโลกที่เสียสละนำพาเราทุก ๆคน ไปถึงฝั่งฝันนั่นเอง
ประวัติความเป็นมา
วันครู ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ.2500 สืบเนื่องมาจากการประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษาเมื่อปี พ.ศ.2488 ซึ่งระบุให้มีสภาในกระทรวงศึกษาธิการเรียกว่า คุรุสภา เป็นนิติบุคคลให้ครูทุกคนเป็นสมาชิกคุรุสภา โดยมีหน้าที่ในเรื่องของสถาบันวิชาชีพครูในขณะเดียวกัน ก็ทำหน้าที่ให้ความเห็นเรื่องนโยบายการศึกษา และวิชาการศึกษาทั่วไปแก่กระทรวงศึกษาธิการ ควบคุมจรรยาและวินัยของครู รักษาผลประโยชน์ ส่งเสริมฐานะของครู จัดสวัสดิการให้ครู และครอบครัวได้รับความช่วยเหลือตามสมควร ส่งเสริมความรู้ และความสามัคคีของครู
ทุกปีคุรุสภาจะจัดให้มีการประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้แทนครูทั่วประเทศแถลงผลงานในรอบปีที่ผ่านมา และซักถามปัญหาข้อข้องใจต่างๆ เกี่ยวกับการดำเนินงานของคุรุสภาโดยมีคณะกรรมการอำนวยการคุรุสภา เป็นผู้ตอบข้อสงสัย สถานที่ในการประชุมสมัยนั้นใช้หอประชุมสามัคคยาจารย์ หอประชุมของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และในระยะหลังใช้หอประชุมคุรุสภา
พ.ศ.2499 ในที่ประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี จอมพล ป.พิบูล สงคราม นายกรัฐมนตรี และประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภากิตติศักดิ์ ได้กล่าวคำปราศรัยต่อที่ประชุมครูทั่วประเทศว่า
"ที่อยากเสนอในตอนนี้ก็คือว่า เนื่องจากผู้เป็นครูมีบุญคุณเป็นผู้ให้แสงสว่างในชีวิตของเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าวันครูควรมีสักวันหนนึ่งสำหรับให้บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายได้แสดงความเคารพสักการะต่อวันสงกรานต์ เราก็นำเอาอัฐิของผู้มีพระคุณบังเกิดเกล้ามาทำบุญ ทำทาน คนที่สองรองลงไปก็คือครูผู้เสียสละทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าในโอกาสนี้จะขอฝากที่ประชุมไว้ด้วย ลองปรึกษาหารือกันในหลักการ ทุกคนคงจะไม่ขัดข้อง"
จากแนวความคิดนี้ กอปรกับความเห็นของครูที่แสดงออกทางสื่อมวลชนและอื่นๆ ที่ล้วนเรียกร้องให้มีวันครูเพื่อให้เป็นวันแห่งการรำลึกถึงความสำคัญของครูในฐานะที่เป็นผู้เสียสละ ประกอบคุณงามความดีเพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นอันมาก ในปีเดียวกันที่ให้มีวันครูเพี่อเสนอคณะกรรมการอำนวยการต่อไป โดยได้เสนอหลักการว่า เพื่อจะได้ประกอบพิธีระลึกถึงคุณบูรพจารย์ ส่งเสริมความสามัคคีธรรมระหว่างครูและพื่อส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างครูกับประชาชน
คณะมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2499 ให้วันที่ 16 มกราคมของทุกปีเป็น "วันครู" โดยถือเอาวันที่ประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ.2488 เป็นวันครู และให้กระทรวงศึกษาธิการสั่งการให้นักเรียนและครูหยุดในวันดังกล่าว
งานวันครูได้จัดเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ.2500 ในส่วนกลางใช้สถานที่ของกรีฑาสถานแห่งชาติเป็นที่จัดงาน ได้กำหนดเป็นหลักการให้มีอนุสรณ์งานวันครูไว้แก่อนุชนรุ่นหลังทุกปี อนุสรณ์ที่สำคัญ คือ หนังประวัติครู หนังสือที่ระลึกวันครู และสิ่งก่อสร้างที่เป็นถาวรวัตถุ
บทสวดเคารพครู
(สวดนำ) ปาเจราจริยาโหนฺติ (รับพร้อมกัน) คุณุตฺตรานุสาสกา
ปญฺญาวุฑฺฒิกเร เต เต ทินฺโนวาเท นมามิหํ
สวดทำนองสรภัญญะ
(สวดนำ) อนึ่งข้าคำนับน้อม (รับพร้อมกัน) ต่อพระครูผู้การุณย์
โอบเอื้อและเจือจุน อนุศาสน์ทุกสิ่งสรรพ์
ยัง บ ทราบก็ได้ทราบ ทั้งบุญบาปทุกสิ่งอัน
ชี้แจงและแบ่งปัน ขยายอรรถให้ชัดเจน
จิตมากด้วยเมตตา และกรุณา บ เอียงเอน
เหมือนท่านมาแกล้งเกณฑ์ ให้ฉลาดและแหลมคม
ขจัดเขลาบรรเทาโม หะจิตมืดที่งุนงม
กังขา ณ อารมณ์ ก็สว่างกระจ่างใจ
คุณส่วนนี้ควรนับ ถือว่าเลิศ ณ แดนไตร
ควรนึกและตรึกใน จิตน้อมนิยมชม
(กราบ)
การจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมในวันครู
เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจในบทบาท และหน้าที่ของครู ตลอดจนจรรยามารยาทและวินัยตามระเบียบประเพณีครู และบทบาทหน้าที่ของศิษย์ที่พึงปฏิบัติต่อครู คลอดจนการจัดกิจรรมได้เหมาะสม และมีประสิทธภาพ
กิจกรรมวันครู
การจัดงานวันครูได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกิจกรรมให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมตลอดเวลาในปัจจุบันได้จัดรูปแบบการจัดงานวันครูจะมีกิจกรรม 3 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
1. กิจกรรมทางศาสนา
2. พิธีรำลึกพระคุณบูรพาจารย์ ประกอบด้วยพิธีปฏิญาณตนการกล่าวคำระลึกถึงพระคุณ
บูรพาจารย์
3. กิจกรรมเพื่อความสามัคคีระหว่างผู้ประกอบอาชีพครู ส่วนมากเป็นการแข่งขันกีฬา หรือ
การจัดงานรื่นเริงในตอนเย็น
ปัจจุบันการจัดงานวันครู ได้มีการกำหนดให้จัดพร้อมกันทั่วประเทศ สำหรับส่วนกลางจัดที่หอประชุมคุรุสภาโดยมีคณะกรรมการจัดงานวันครู ซึ่งมีปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน ประกอบด้วย บุคคลหลายอาชีพร่วมกันเป็นผู้จัด สำหรับส่วนภูมิภาคมอบให้จังหวัดเป็นผู้ดำเนินการ โดยตั้งคณะกรรมการจัดงานวันครูขึ้นเช่นเดียวกับ ส่วนกลางจะจัดรวมกันที่จังหวัดหรือแต่ละอำเภอ
รูปแบบการจัดงานในส่วนกลาง (หอประชุมคุรุสภา) พิธีจะเริ่มตั้งแต่เช้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภา คณะกรรมการอำนวยคุรุสภา คณะกรรมการการจัดงานวันครูพร้อมด้วยครูอาจารย์และประชาชนร่วมกันใส่บาตรพระสงฆ์จำนวน 1,000 รูป
หลังจากนั้นทุกคนที่มาร่วมงานจะเข้าร่วมพิธีในหอประชุมคุรุสภา นายกรัฐมนตรีเดินทางมาเป็นประธานในงาน ดนตรีบรรเลงเพลงมหาฤกษ์ นายกรัฐมนตรีบูชาพระรัตนตรัย ประธานสงฆ์ให้ศีล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าวรายงานต่อนายกรัฐมนตรีกล่าวนำพิธีสวดคำฉันท์รำลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์
จากนั้นประธานจัดงานวันครู จะเชิญผู้ร่วมประชุมยืนสงบ 1 นาที เพื่อรำลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ที่ล่วงลับไปแล้ว ต่อด้วยครูอาวุโสในประจำการ ผู้นำร่วมประชุมกล่าวปฏิญาณ
คำปฏิญาณตนของครู
ข้อ 1 ข้าจะบำเพ็ญตน ให้สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นครู
ข้อ 2 ข้าจะตั้งใจฝึกสอนศิษย์ให้เป็นพลเมืองดีของชาติ
ข้อ 3 ข้าจะรักษาชื่อเสียงของคณะครู และบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม
จากนั้นพระสงฆ์เจริญชัยมงคล แล้วต่อด้วยนายกรัฐมนตรี มอบรางวัลครูดีเด่นประจำปี มอบของที่ระลึกให้ครูอาวุโสนอก และในประจำการ สุดท้ายกล่าวปราศรัยกับคณะครูที่มาประชุม ข้าจะบำเพ็ญตน ให้สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นครู ข้าจะตั้งใจฝึกสอนศิษย์ให้เป็นพลเมืองดีของชาติ ข้าจะรักษาชื่อเสียงของคณะครู และบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม
มารยาทและวินัยตามระเบียบประเพณีของครู
1. เลื่อมใสการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขด้วยความ
บริสุทธิ์ใจ
2. ยึดมั่นในศาสนาที่ตนนับถือ ไม่ลบหลู่ดูหมิ่นศาสนาอื่น
3. ตั้งใจสั่งสอนศิษย์และปฏิบัติหน้าที่ของตน ให้เกิดผลดีด้วยความเอาใจใส่ อุทิศเวลาของ
ตน ให้แก่ศิษย์ จะละทิ้งหรือทอดทิ้งหน้าที่การงานไม่ได้
4. รักษาชื่อเสียงของตนมิให้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว ห้ามประพฤติการใด ๆ อันอาจทำให้
เสื่อมเสียเกียรติและชื่อเสียงของครู
5. ถือปฏิบัติตามระเบียบและแบบธรรมเนียมอันดีงามของสถานศึกษา และปฏิบัติตามคำสั่ง
ของผู้บังคับบัญชา ซึ่งสั่งในหน้าที่การงานโดยชอบด้วยกฎหมายและระเบียบแบบแผน
ของสถานศึกษา
6. ถ่ายทอดวิชาความรู้โดยไม่บิดเบือนและปิดบังอำพราง ไม่นำหรือยอมให้นำผลงานทาง
วิชาการของตนไปใช้ในทางทุจริตหรือเป็นภัยต่อมนุษย์ชาติ
7. ให้เกียรติแก่ผู้อื่นทางวิชาการ โดยไม่นำผลงานของผู้ใดมาแอบอ้างเป็นผลงานของตน
และไม่เบียดบังใช้แรงงานหรือนำผลงานของผู้อื่นไป เพื่อประโยชน์ส่วนตน
8. ประพฤติตนอยู่ในความซื่อสัตย์สุจริต และปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความเที่ยงธรรมไม่
แสวงหาประโยชน์สำหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ
9. สุภาพเรียบร้อยประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์ รักษาความลับของศิษย์ ของผู้ร่วม
งานและของสถานศึกษา
10. รักษาความสามัคคีระหว่างครูและช่วยเหลือกันในหน้าที่การงาน
รายชื่อประเทศที่มีวันครู
ประเทศที่มีวันครูที่ไม่ใช่วันหยุด
- อินเดีย วันครูตรงกับวันที่ 5 กันยายน
- มาเลเซีย วันครูตรงกับวันที่ 16 พฤษภาคม
- ตุรกี วันครูตรงกับวันที่ 24 พฤศจิกายน
ประเทศที่มีวันครูเป็นวันหยุด
- แอลเบเนีย วันครูตรงกับวันที่ 7 มีนาคม
- จีน วันครูตรงกับวันที่ 10 กันยายน
- สาธารณรัฐเช็ก วันครูตรงกับวันที่ 28 มีนาคม
- อิหร่าน วันครูตรงกับวันที่ 2 พฤษภาคม
- ละตินอเมริกา วันครูตรงกับวันที่ 11 กันยายน
- โปแลนด์ วันครูตรงกับวันที่ 14 ตุลาคม
- รัสเซีย วันครูตรงกับวันที่ 5 ตุลาคม
- สิงคโปร์ วันครูตรงกับวันที่ 1 กันยายน
- สโลวีเนีย วันครูตรงกับวันที่ 28 มีนาคม
- เกาหลีใต้ วันครูตรงกับวันที่ 15 พฤษภาคม
- ไต้หวัน วันครูตรงกับวันที่ 28 กันยายน
- ไทย วันครูตรงกับวันที่ 16 มกราคม
- สหรัฐอเมริกา วันอังคารในสัปดาห์แรกที่เต็ม 7 วันในเดือนพฤษภาคม
- เวียดนาม วันครูตรงกับวันที่ 20 พฤศจิกายน
ข้อมูลและภาพประกอบจาก - สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2553
สวัสดีปีใหม่ 2553
เขียนโดย Gig | ที่ 22:50 | 0 ความคิดเห็น
Night Paradise Hatyai Countdown 2010
วันจัดงาน : 29 – 31 ธันวาคม 2552สถานที่จัดงาน : ใจกลางเมืองหาดใหญ่ จ.สงขลา
วันจัดงาน : 29 – 31 ธันวาคม 2552สถานที่จัดงาน : ใจกลางเมืองหาดใหญ่ จ.สงขลา
ฟังดนตรี และ Countdown to New Year @ บูติก ราฟท์ ริเวอร์แคว รีสอร์ทวันจัดงาน : 31 ธันวาคม 2552สถานที่จัดงาน : Boutique Raft Riverkwai อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี
แอ่วเหนือ-ขึ้นอีสาน-ล่องใต้ ไปเคาท์ดาวน์ปีใหม่แบบอินเทรนด์เทศกาล ปีใหม่นับเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข ที่หลายๆ ครอบครัวเฝ้ารอเพื่อจะข้ามคืนสุดท้ายของปีเก่า เข้าสู่ศักราชใหม่ไปอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากัน และคงจะดีไม่น้อย หากได้เปลี่ยนบรรยากาศไป countdown ในสถานที่ท่องเที่ยวแปลกใหม่ ร่วมกับญาติพี่น้อง หรือเพื่อนสนิท พร้อมทั้งสูดอากาศเย็นสดชื่นให้ฉ่ำปอด ผ่อนคลายสายตาจากความเหนื่อยล้ามาตลอดปีกับธรรมชาติเขียวขจีและบริสุทธิ์ ท่ามกลางขุนเขาในภาคเหนือ – อีสาน หรือจะเยือนถิ่นตะวันออก – ล่องแดนใต้ หลบความวุ่นวายไปติดเกาะ แหวกว่ายทักทายฝูงปลา-ปะการัง และพักผ่อนบนชายหาดสวยงามอันดับต้นๆ ของเมืองไทย ก็ถือว่าเป็นไอเดียเคาท์ดาวน์ที่เก๋ไก๋ไปอีกแบบ โอกาสนี้ เราขอแนะนำแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติฮอตฮิตทั่วไทย ที่นักท่องเที่ยวนิยมไปฉลองปีใหม่กันมากที่สุด 10 อันดับ
1. อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ เชียงใหม่
1. อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ เชียงใหม่
2. ปาย แม่ฮ่องสอน
3. ภูชี้ฟ้า เชียงราย
4. ผาแต้ม อุบลราชธานี
5. มอหินขาว ชัยภูมิ (1 ในแคมเปญ 12 เดือน 7 ดาว 9 ตะวัน)
6. เขาใหญ่ นครราชสีมา
7. หมู่เกาะช้าง เกาะกูด ตราด
8. เกาะทะลุ ประจวบคีรีขันธ์
9. เกาะสมุย เกาะพะงัน สุราษฎร์ธานี
10. หมู่เกาะตะรุเตา หมู่เกาะอาดัง-ราวี สตูล
ชอบแบบไหน ก็ไปแบบนั้นนะครับ สวัสดีปีใหม่ทุกท่าน ขอให้โชคดี มีความสุขครับ
แหล่งข้อมูล :การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยtrekkingthai.comhttp://travel.mthai.com/view/40550.travelhttp://www.ichumphae.com
Tags: ความสุข, จันทบุรี, ตราด, ทะเล, ทั่วไทย, เกาะช้าง, เคาท์ดาวน์
ชอบแบบไหน ก็ไปแบบนั้นนะครับ สวัสดีปีใหม่ทุกท่าน ขอให้โชคดี มีความสุขครับ
แหล่งข้อมูล :การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยtrekkingthai.comhttp://travel.mthai.com/view/40550.travelhttp://www.ichumphae.com
Tags: ความสุข, จันทบุรี, ตราด, ทะเล, ทั่วไทย, เกาะช้าง, เคาท์ดาวน์
วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2553
อาหารอีสาน
เขียนโดย Gig | ที่ 18:18 | 0 ความคิดเห็น
อาหารอีสาน
หากจะกล่าวถึงอาหารการกินของคนอีสาน หลายคนคงรู้จักคุ้นเคยและได้ลิ้มชิมรส กันมาบ้างแล้ว ชาวอีสานมีวถีการดำเนินชีวิตที่เรียบง่ายเช่นเดียวกับการที่รับประทานอาหารอย่างง่ายๆ มักจะรับประทานได้ทุกอย่าง เพื่อการดำรงชีวิตอยู่ให้สอดคล้องกับธรรมชาติของภาคอีสาน ชาวอีสานจึงรู้จักแสวงหาสิ่งต่างๆที่สามารถรับประทานได้ในท้องถิ่น มาดัดแปลงเป็นอาหารรับประทาน อาหารอีสานเป็นอาหารที่มีความแตกต่างจากอาหารของภาคอื่นๆ และเข้ากับวิถีการดำเนินชีวิตที่เรียบง่ายของชาวอีสาน อาหารของชาวอีสานในแต่ละมื้อจะเป็นอาหารง่ายๆเพียง 2-3 จาน ซึ่งทุกมื้อจะต้องมีผักเป็นส่วนประกอบหลักพวกเนื้อส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อปลาหรือเนื้อวัวเนื้อควาย ความพึงพอใจในรสชาติอาหารของชาวอีสานนั้นไม่มีตายตัวแล้วแต่ความชอบของบุคคล แต่อาหารพื้นบ้านอีสานส่วนใหญ่แล้วจะออกรสชาติไปทางเผ็ด เค็ม และเปรี้ยว
เครื่องปรุงอาหารอีสานที่สำคัญและแทบขาดไม่ได้เลย คือ ปลาร้า ซึ่งที่เกิดจากภูมิปัญญาด้านการถนอมอาหารของบรรพบุรุษของชาวอีสาน ถ้าจะกล่าวว่าชาวอีสานทุกครัวเรือนต้องมีปลาร้าไว้ประจำครัวก็คงไม่ผิดนัก ปลาร้าใช้เป็นส่วนประกอบหลักของอาหารได้ทุกประเภท เหมือนกับที่ชาวไทยภาคกลางใช้น้ำปลา
ลักษณะการปรุงอาหารพื้นเมืองอีสาน
ลาบ เป็นอาหารประเภทยำที่มีเนื้อมาสับละเอียดหรือหั่นเป็นชิ้นเล็กๆบางๆปรุงรสด้วยน้ำปลาร้า พริก ข้าว
คั่ว ต้นหอม ผักชี รับประทานกับผักพื้นเมือง นิยมใช้กับเนื้อปลาหมูวัวควายและไก่
ก้อย เป็นอาหารประเภทยำที่จะนำเนื้อย่างมาหั่นเป็นชิ้นๆผสมกับผักพื้นเมืองนิยมใช้กับเนื้อปลาหมูวัว
ควายและไก่ ทานกับผักสดนานาชนิด
ส่า เป็นอาหารประเภทยำ ที่นำหนังหมู เนื้อหมูย่างสับมาผสมกับหัวปลี วุ้นเส้น
แซ หรือ แซ่ เป็นอาหารประเภทยำที่นำเนื้อสดๆมาปรุงนิยมใช้กับเนื้อวัวและหมู คล้ายๆลาบแต่มักใส่เลือด
สดๆด้วย กินกับผักสดตามชอบ คนโบราณนิยมกินเพราะเชื่อว่าเป็นยาชูกำลัง ปัจจุบันได้รับ
ความนิยมเฉพาะในชนบทที่ห่างไกล
อ่อม เป็นอาหารประเภทแกงแต่มีน้ำน้อยมีผัก พื้นเมืองหลายชนิดนิยมใช้กับเนื้อ ไก่และปลาหรือเนื้อกบ
เนื้อเขียดหรือเนื้อสัตว์อื่นๆแต่เน้นที่ปริมาณผัก
อ๋อ ลักษณะคล้ายอ่อมแต่ไม่ใส่ผัก(ใส่เพียงต้นหอม ใบมะกรูด ตะไคร้ ใบแมงลัก) นิยมใช้ปลาตัวเล็ก
กุ้ง หรือไข่มดแดงปรุง ใส่น้ำพอให้อาหารสุก
หมก เป็นอาหารประเภทหนึ่งที่ใช้ใบตองห่อนิยม ใช้กับเนื้อปลา ไก่ แมลง กบ เขียด ผักและหน่อไม้
หมกหรือห่อหมกของภาคอีสานจะไม่ใส่กะทิ
อู๋ คล้ายหมกแต่ไม่ใช้ใบตอง นิยมใช้กับเนื้อปลาโดยเฉพาะปลาตัวเล็กๆ กับพวกลูกอ๊อดกบ
หม่ำ คือ ไส้กรอกเนื้อวัวผสมตับ ตะไคร้และเครื่องเทศอื่นๆ
หม่ำขึ้ปลา มีลักษณะคล้ายปลาร้าชนิดหนึ่งรสชาติค่อนข้างเปรี้ยว หมักกับข้าวเหนียว
แจ่ว คือ น้ำพริกของชาวอีสานนิยมใส่ปลาร้าสับหรือน้ำปลาร้า บางครั้งใส่มะกอกพื้นบ้านก็เป็นแจ่ว
มะกอก รับประทานกับผักสด ลวก หรือนึ่ง เป็นอาหารที่นิยมรับประทานกันทุกบ้านในภาคอีสาน
เพราะมีขั้นตอนการทำที่ไม่ยุ่งยาก
ตำซั่ว เป็นอาหารประเภทส้มตำชนิดหนึ่ง แต่ใส่ส่วนประกอบมากกว่า คือ ใส่ขนมจีน ผักดอง ผัก(เหมือน
ที่ใส่ขนมจีน) และมะเขือลาย หรือผักอื่นๆตามต้องการลงไปในตำมะละกอด้วย ผักอื่นๆตามต้อง
การลงไปในตำมะละกอด้วย
ภูมิปัญญาพื้นบ้าน
เขียนโดย Gig | ที่ 18:06 | 0 ความคิดเห็น
ภูมิปัญญาพื้นบ้าน
ยาดองเหล้าบ้านตะบัล กู้ศักดิ์ศรีภูมิปัญญาในการรักษาตนเอง
ยาดองเหล้าบ้านตะบัลกู้ศักดิ์ศรีภูมิปัญญาในการรักษาตนเอง
"ทำอย่างไรที่เราจะไม่ต้องซื้อรวมทั้งการอนุรักษ์ภูมิปัญญาชาวบ้าน ถือเป็นหัวใจสำคัญในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม" นี่เป็นประเด็นสำคัญอันหนึ่งของการสนทนาในครั้งนี้ กับ คุณเอียด ดีพูน ประธานคณะกรรมการศาสนาเพื่อการพัฒนาสุรินทร์หรือศูนย์สมุนไพรบ้านตะบัล ซึ่งทำงานเคียงคู่กับชาวบ้านมานานนับสิบปี ซึ่งมุ่งหวังเพียงจะให้ชุมชนต่างๆ มีความมั่นคงทางด้านอาหาร การรักษาโรค โดยที่สามารถพึ่งตนเองได้ด้วยภูมิปัญญาที่คนไทยมีได้อย่างไม่ต้องอายใคร
เช่นเดียวกับเรื่องการทำเหล้า ที่เขาเห็นว่าเป็นความรู้พื้นบ้านที่มีความสำคัญ และหยั่งรากลึกอยู่ในสังคมไทยมานานแล้ว แต่กำลังถูกบิดเบือนและแย่งชิงไปเพื่อผูกขาดเป็นธุรกิจส่วนตัวโดยโรงงาน โดยเฉพาะการประกอบการสุราประเภทสุราและสาโท ดังนั้นวันนี้ของเขาจึงเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะยืนหยัดต่อสู้ เพื่อให้ได้ซึ่งสิทธิอำนาจและภูมิปัญญาในการประกอบการเหล่านี้คืนมา
เปิดตำนานเหล้าดองยา
เหล้ากับมนุษยชาติดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออกเลยจริงๆ เพราะไม่ว่าประเทศใดในโลกก็ล้วนแต่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวกันทั้งนั้น เช่น พูดถึงเบียร์ชั้นยอดเราก็จะนึกถึงประเทศเยอรมัน ในขณะที่วอดก้าที่ลือชื่อก็ได้แก่ประเทศรัสเซีย ประเทศไทยเองก็เช่นกัน เรามีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พื้นบ้านหลากหลายชนิดทั้งประเภทที่กลั่นและไม่กลั่น อาทิ น้ำตาลเมา สาโท อุ เหล้าขาว ฯลฯ ซึ่งแทบจะกลายเป็นตำนานเล่าขานกันไป แล้วสำหรับคนไทยรุ่นใหม่ๆ เพราะแทบไม่เคยได้เห็นหน้าค่าตาหรือแม้แต่ลิ้มลองกันเลยสักครั้ง
คุณเอียดเล่าให้เราฟังว่า เหล้านั้นเกิดขึ้นมานานตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว โดยถือกันว่าเป็นยาชนิดหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นหล่อเลี้ยงร่างกายได้ ซึ่งในครั้งแรกอาจจะเกิดขึ้นด้วยความบังเอิญแต่ต่อมาคนไทยก็เริ่มคิดค้นการสร้างยีสต์ด้วยการเอารากสมุนไพรมาหมัก เมื่อหมักได้ที่และได้ของเหลวสีขาวที่มีแอลกอฮอล์ก็พบว่ามีปัญหาเรื่องกลิ่นจึงนำไปกลั่นให้ได้เป็นน้ำใสๆ แต่ด้วยความช่างคิดช่างค้นที่ไม่หยุดหย่อนของคนไทยนี่เอง ที่ทำให้หลายๆ คนพยายามทดลองเอาสมุนไพรชนิดอื่นๆ ผสมลงไปเพื่อให้การกินเหล้าได้ประโยชน์มากยิ่งขึ้นจึงเกิดเป็นเหล้าดองยามาจนทุกวันนี้
เหล้าโรงงานกับการมัดมือ
ยาดองเหล้าที่ชาวบ้านทำนั้นมักจะเป็นการทำตามเทศกาล หรือเพื่อใช้เป็นครั้งคราวมากกว่าการทำไว้กินเป็นประจำ เช่น ทำเพื่อเป็นยารักษาโรคต่างๆ ทำเพื่ออยู่ไฟหลังคลอดบุตร ทำสำหรับงานบวช งานแต่งงาน ซึ่งเหล้าส่วนใหญ่ที่นำมาใช้ในการดองยามักจะเป็นเหล้ากลั่น ตามภูมิปัญญาดังเดิมของตนเอง โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งเหล้าโรงจากภายนอก ทำให้เหล้าดองยาที่ได้มีรสชาติดีและมีกลิ่นหอมหวาน แต่หลังจากที่มีกฎกระทรวงและพระราชบัญญัติการสุรา พ.ศ. 2493 ออกมาผูกขาดการผลิตสุราให้เป็นระบบอุตสาหกรรมแล้ว เหล้าพื้นบ้านทั้งหลายก็กลายเป็นเหล้าเถื่อนโดยทันที
ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว เหล้าจากโรงงานมีคุณภาพต่ำและมีราคาแพงกว่าเหล้าพื้นบ้านหลายเท่าตัว ทำให้ยาดองที่ได้ในปัจจุบัน (ซึ่งใช้เหล้าขาวจากโรงงาน) มีกลิ่นฉุนที่ค่อนข้างรุนแรง และใช้เวลาในการดองนานขึ้น (ตามปกติเมื่อดองยาตั้งแต่ 7 วันขึ้นไป ก็สามารถรับประทานได้ แต่เนื่องจากเป็นเหล้าโรงงานคุณเอียดบอกว่า ควรจะยืดระยะเวลาออกไป เพื่อฆ่าสารเคมีสังเคราะห์ซึ่งจะช่วยให้กลิ่นดีขึ้น)
"แป้งกลั่นที่ใช้ผลิตเหล้าตามโรงงาน เป็นแป้งที่มีระบบวิทยาศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้อง เวลาคนกินแล้วมีผลข้างเคียง ถ้ากินเป็นประจำก็มีปัญหาเป็นแอลกอฮอล์ลิสซึ่ม ในขณะที่เหล้ากลั่นโบราณสมัยก่อนไม่มีปัญหาอะไรเพราะทำจากสมุนไพรแท้
แต่ทุกวันนี้มันไม่ใช่ โรงงานอาจจะผสมมันสำปะหลังหรืออะไรเข้าไปอีกก็ได้ ไม่ใช่รวงข้าวบริสุทธิ์อย่างที่ชาวบ้านเขาทำไว้ทานกันเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้ เพราะการผลิตเหล้า เป็นสิทธิอันชอบธรรมของชาวบ้านอยู่ก่อนแล้ว แต่กลับมาแก้กฎหมาย ยกเลิกสิทธิชุมชนในการแปรรูป ในการจัดกระบวนการผลิตนี่จึงเป็นเรื่องที่เรากำลังรื้อฟื้นภูมิปัญญา ให้ชุมชนประกอบการเหล้าเสรีโดยฐานล่างซึ่งถ้าทำได้จริงๆ จะเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากทีเดียว" คุณเอียดกล่าวด้วยแววตามุ่งมั่น
ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วเหล้าจากโรงงานมีคุณภาพต่ำและมีราคาแพงกว่าเหล้าพื้นบ้านหลายเท่าตัว ทำให้ยาดองที่ได้ในปัจจุบัน (ซึ่งใช้เหล้าขาวจากโรงงาน) มีกลิ่นฉุนที่ค่อนข้างรุนแรง และใช้เวลาในการดองนานขึ้น (ตามปกติเมื่อดองยาตั้งแต่ 7 วันขึ้นไป ก็สามารถรับประทานได้ แต่เนื่องจากเป็นเหล้าโรงงานคุณเอียดบอกว่าควรจะยืดระยะเวลาออกไปเพื่อฆ่าสารเคมีสังเคราะห์ซึ่งจะช่วยให้กลิ่นดีขึ้น) "แป้งกลั่นที่ใช้ผลิตเหล้าตามโรงงานเป็นแป้งที่มีระบบวิทยาศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้อง เวลาคนกินแล้วมีผลข้างเคียง ถ้ากินเป็นประจำก็มีปัญหาเป็นแอลกอฮอล์ลิสซึ่ม ในขณะที่เหล้ากลั่นโบราณสมัยก่อนไม่มีปัญหาอะไรเพราะทำจากสมุนไพรแท้ แต่ทุกวันนี้มันไม่ใช่ โรงงานอาจจะผสมมันสำปะหลังหรืออะไรเข้าไปอีกก็ได้ ไม่ใช่รวงข้าวบริสุทธิ์อย่างที่ชาวบ้านเขาทำไว้ทานกันเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้ เพราะการผลิตเหล้าเป็นสิทธิอันชอบธรรมของชาวบ้านอยู่ก่อนแล้ว แต่กลับมาแก้กฎหมายยกเลิกสิทธิชุมชนในการแปรรูป ในการจัดกระบวนการผลิตน ี่จึงเป็นเรื่องที่เรากำลังรื้อฟื้นภูมิปัญญาให้ชุมชนประกอบการเหล้าเสรีโดยฐานล่างซึ่งถ้าทำได้จริงๆ จะเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากทีเดียว" คุณเอียดกล่าวด้วยแววตามุ่งมั่น
สมุนไพรเผ็ดร้อน : หัวใจการดองยา
"เช่น เราเพิ่มเถาวัลย์เปรียงเพื่อแก้ปวดเมื่อย หรือเพิ่มบอระเพ็ดให้มีความขมเพื่อช่วยบำรุงกำลังและเป็นยาอายุวัฒนะ แล้วก็เพิ่มอะไรต่างๆ เข้าไปตามแต่การคิดค้นของคน ซึ่งล้วนแต่มีจุดมุ่งหมายที่ใช้บำรุงร่างกายทั้งสิ้น ส่วนเรื่องยาดองในช่วงหลังถูกมองว่าเป็นเรื่องของยาบำรุงทางเพศนั้น มันเป็นเรื่องตามกระแสมากกว่า … เอาไวอะกร้ามาสร้างกระแสบำรุงกำหนัดไป ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดพลาดมาก ร้านยาดองต่างๆ ที่ชูประเด็นบำรุงกำหนัด สูตรเย็นทั้งหลายทั้งเหล่เป็นเรื่องของการค้าทั้งนั้น ตั้งชื่อเพื่อดึงการค้าให้เป็นธุรกิจ แต่สิ่งที่เราพยายามส่งเสริมอยู่นี้เราทำเพื่อสร้างคุณภาพ สร้างปัญญาเจตนารมณ์ของเราคือเรื่องการบำรุงกำลัง บำรุงโลหิต และคลายเครียด …"
เหล้าดองส่วนใหญ่สามารถแบ่งประเภทตามสรรพคุณได้หลักๆ 2 ประเภท คือใช้เพื่อบำรุงกำลังและบำรุงโลหิต ซึ่งสมุนไพรที่ใช้ดองยานั้นมักจะเป็นเครื่องร้อนจำพวกเครื่องเทศ อาทิ ขิง ข่า พริกไทย หรือดีปลี และสมุนไพรประเภทที่ให้สรรพคุณในแง่การบำรุงกำลังก็มักจะเป็นสมุนไพรที่หาได้ง่ายตามท้องถิ่น คุณเอียดกล่าวเสริมว่า "ตามปกติชาวบ้านก็จะกินเหล้าขาวกันอยู่แล้ว แต่เราจะแนะนำว่าช่วงนี้ควรจะดองอะไรเข้าไปหน่อย อย่างน้อยก็โด่ไม่รู้ล้ม หรือเถาวัลย์เปรียงซึ่งมีอยู่แล้วตามจอมปลวก ตามทุ่งนาก็เอามาใส่ ก็แก้ปวดเมื่อยได้ เอาโคคลาน ทองพันชั่ง กระชายมาช่วยบำรุงกำลัง หรือถ้าเราเครียดอยากกินข้าวได้ก็ใช้ขี้เหล็กดองเข้าไป ขมๆ นี่แหละดีช่วยคลายเครียดได้ ซึ่งอย่างน้อยๆ ก็ทำให้การกินเหล้าของเขามีประโยชน์ขึ้น"
ยาดอง : ศักดิ์ศรียาไทย
ส่วนสูตรยาดองที่ทางสำนักงานของคุณเอียด ทำเพื่อออกตามงานเทศกาลต่างๆ อาทิ งานช้างจังหวัดสุรินทร์นั้นมีอยู่ประมาณ 4-5 สูตร ได้แก่ สูตรยาดองบำรุงกำลัง ยาบำรุงโลหิต ยาดองคลายเครียด และยาดองชนิดเดี่ยว ซึ่งหมายถึงใช้สมุนไพรตัวเดียวกันการดอง เช่นยาดองฟ้าทะลายโจร โดยการออกงานแต่ละครั้งก็ล้วนแต่ได้รับความสนใจจากผู้คนทุกๆ ครั้ง ไม่เว้นแม้กระทั้งกลุ่มวัยรุ่น อีกทั้งยังมีร้านค้าจากหลายๆ จังหวัดขอให้ผลิตส่งเป็นประจำเลยทีเดียว
คุณเอียดบอกว่า การที่เหล้าดองยาได้รับความสนใจทุกครั้งในการออกงานทำให้เขารู้สึกดี และมีกำลังใจที่จะต่อสู้เพื่อจะให้ภูมิปัญญาเหล่านี้คงอยู่ต่อไป และสิ่งที่ทำให้เหล้าดองยาของเขาได้รับความนิยมนั้น ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะการพิถีพิถันในกระบวนการผลิตก็เป็นได้ เริ่มตั้งแต่การดองสมุนไพร และหมั่นถ่ายเอาตะกอนยาออก จนกระทั่งได้เป็นยาที่บริสุทธิ์ที่ปราศจากกลิ่นฉุน ซึ่งใช้เวลานานกว่า 2 เดือน
แต่อย่างไรก็ตามเราก็คงต้องลุ้นให้มีการผลิตเหล้าเสรีได้เสียก่อน จึงจะเรียกได้ว่ายืนอยู่บนขาของตัวเองอย่างแท้จริง คุณเอียดยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า "ทุกวันนี้ เราสูญเสียการพึ่งตนเองของชุมชน เพราะต้องเสียเงินซื้อเหล้าจากโรงงาน แต่ละชุมชนเงินไหลออกไปไม่น้อยเลย ซึ่งถ้าหากเราไม่ซื้อและสามารถอนุรักษ์ภูมิปัญญาของเราเอาไว้ได้ จะถือว่าเป็นหัวใจในการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่"
สำหรับคนที่สนใจศึกษาดูงานหรือเรียนรู้เพิ่มเติม สามารถติดต่อไปได้ที่คณะกรรมศาสนาเพื่อการพัฒนาสุรินทร์หรือศูนย์สมุนไพรบ้านตะบัล โทรศัพท์ (044) 531-275 นอกจากจะให้ความรู้เรื่องการผลิตยาดองเหล้าได้แล้ว ที่นี่ยังเป็นแหล่งผลิต จำหน่ายยาสมุนไพรและรวบรวมสมุนไพรหายากเอาไว้อีกหลายชนิดด้วย หรือหากจะร่วมเรียนรู้วิถีชีวิตชาวบ้านด้วยการทำนาข้าวปลอดสารเคมีก็น่าจะเป็นกำไรชีวิตได้อย่างดี
นับแต่นี้คงต้องอาศัยความเข้าใจของเราทุกคนในการสร้างการรับรู้ใหม่ต่อยาดอง ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงแค่เหล้าเท่านั้น หากแท้จริงแล้วยังหมายรวมถึงสิทธิภูมิปัญญาในการดูแลรักษาตนเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่น ทั้งความรู้ในเรื่องการทำเหล้าและการใช้ยาสมุนไพร เพียงแต่เมื่ออำนาจรัฐเข้าไปคุกคาม และริดรอนสิทธิที่พึงมีพึงได้ของเขาแล้ว ชาวบ้านจึงกลายเป็นเพียงบุคคลที่ไร้ศักยภาพ ความป่วยไข้ที่เคยเป็นเรื่องง่ายดายในสายตาพวกเขา กลายเป็นความชำนาญสำหรับหมอเพียงคนเดียวเท่านั้น
แล้วชาวบ้านตาดำๆ ที่ยากจนเหล่านั้นจะต้องทำงานหนักอีกสักเท่าไรกัน จึงจะเพียงพอต่อการใช้ชีวิตที่นับถือเงินเป็นพระเจ้าในโลกบริโภคนิยมใบนี้?
ข้อมูลจาก สถาบันแพทย์แผนไทย
ติดต่อสอบถามข้อมูลวิชาการ ฝ่ายวิชาการ สถาบันการแพทย์แผนไทย
ภูมิปัญญาพื้นบ้าน
เขียนโดย Gig | ที่ 18:00 | 0 ความคิดเห็นภูมิปัญญาพื้นบ้าน
ผญา
คนอีสานมีคำคม สุภาษิตสำหรับสั่งสอนลูกหลานให้ประพฤติตนอยู่ในฮีตคอง (จารีต- ประเพณี) ไม่ออกนอกลู่นอกทาง คำคมเหล่านี้รู้จักกันทั่วไป ในชื่อ "ผญา" หมายถึง ปัญญา, ปรัชญา, ความฉลาด, คำภาษิตที่มีความหมายลึกซึ้ง (wisdom, philosophy, maxim, aphorism.)ปัญญา ปรัชญา หรือผญา เป็นกลุ่มภาษาเดียวกัน มีความหมายคล้ายคลึงกัน ใกล้ เคียงกันหรือบางครั้งใช้แทนกันได้ ซึ่งหมายถึง ปัญญา ความรู้ ไหวพริบ สติปัญญา ความเฉลียว ฉลาดปราชญ์เปรื่อง หรือบางท่านบอกว่า ผญา มาจากปัญญา โดยเอา ป เป็น ผ เหมือนกับ เปรต เป็น เผด โปรด เป็น โผด เป็นต้น ผญาเป็นลักษณะแห่งความคิดที่แสดงออกมาทางคำพูด ซึ่งอาจ จะมีสัมผัสหรือไม่ก็ได้
ผญา คือ คำคม สุภาษิต หรือคำพูดที่เป็นปริศนา คือฟังแล้วต้องนำมาคิด มาวิเคราะห์ เพื่อค้นหาคำตอบที่เป็นจริงและชัดเจนว่า หมายถึงอะไร
ผญา เป็นคำพูดที่คล้องจองกัน ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องมีสัมผัสเสมอไป แต่เวลาพูดจะ ไพเราะสละสลวย และในการพูดนั้นจะขึ้นอยู่กับจังหวะหนักเบาด้วย ผญา เป็นการพูดที่ต้องใช้ไหวพริบ สติปัญญา มีเชาวน์ มีอารมณ์คมคาย พูดสั้นแต่กิน ใจความมากการพูดผญาเป็นการพูดที่กินใจ การพูดคุยด้วยคารมคมคาย ซึ่งเรียกว่า ผญา นั้น ทำให้ผู้ฟังได้ทั้งความรู้และความคิดสติปัญญา ความสนุกเพลิดเพลิน ยิ่งไปกว่านั้น ยังทำให้เกิด ความรักด้วย จึงทำให้หนุ่มสาวฝนสมัยก่อน นิยมพูดผญากันมาก และการโต้ตอบเชิงปัญญาที่ทำ ให้แต่ละฝ่ายเฟ้นหาคำตอบ เพื่อเอาชนะกันนั้นจึงก่อให้เกิดความซาบซึ้ง ล้ำลึกสามารถผูกมัด จิตใจของหนุ่มสาวไม่น้อย ดังนั้น ผญา จึงเป็นเมืองมนต์ขลัง ที่ตรึงจิตใจหนุ่มสาวให้แนบแน่น ลึกซึ้งลงไป
ภาษิตโบราณอีสานแต่ละภาษิตมีความหมายลึกบ้าง ตื้นบ้าง หยาบก็มี ละเอียด ก็มี ถ้าท่านได้พบภาษิตที่หยาบ ๆ โปรดได้เข้าใจว่า คนโบราณชอบสอนแบบตาเห็น ภาษิตประจำ ชาติใด ก็เป็นคำไพเราะเหมาะสมแก่คนชาตินั้น คนในชาตินั้นนิยมชมชอบว่าเป็นของดี ส่วนคน ในชาติอื่น อาจเห็นว่าเป็นคำไม่ไพเราะเหมาะสมก็ได้ ความจริง "ภาษิต" คือรูปภาพของวัฒนธรรม แห่งชาติ นั่นเอง การจ่ายผญา หรือการแก้ผญา
การจ่ายผญา แก้ผญา เว้าผญา หรือพูดผญา คือการตอบคำถาม ซึ่งมึผู้ถามมาแล้ว ก็ตอบไป เป็นการพูดธรรมดา ไม่มีการเอื้อนเสียง ไม่มีทำนอง แต่เป็นจังหวะ มีวรรคตอนเท่านั้น ผู้ถามส่วนใหญ่จะเป็นหมอลำฝ่ายชาย คือลำเป็นคำถาม ฝ่ายหญิงจะเป็นฝ่ายตอบ หรือจ่ายผญา ด้วยเหตุนี้จึงมักจะเรียกว่า ลำผญา หรือลำผญาญ่อย เช่น(ชาย) ..... อ้ายนี้อยากถามข่าวน้ำ ถามข่าวถึงปลา อยากถามข่าวนา ถามข่าวถึงเข้า (ข้าว) อ้ายอยากถามข่าวน้อง ว่ามีผัวแล้วหรือบ่ หรือว่ามีแต่ชู้ ผัวสิซ้อนหากบ่มี(หญิง) ..... น้องนี้ปอดอ้อยซ้อยเสมอดังตองตัด พัดแต่เป็นหญิงมา บ่มีชายสิมาเกี้ยว พัดแต่สอนลอนขึ้น บ่มีเครือสิเกี้ยวพุ่ม พัดแต่เป็นพุ่มไม้เครือสิเกี้ยวกะบ่มีหมอผญาที่ควรกล่าวถึงในที่นี้ คือ แม่ดา ซามงค์ แม่สำอางค์ อุณวงศ์ แม่เป๋อ พลเพ็ง แม่บุญเหลื่อม พลเพ็ง แห่งบ้านดอนตาล อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร เป็นต้นการลำและจ่ายผญา ในสมัยโบราณนั้นจะนั่งกับพื้น คือ หมอลำ หมอผญาและหมอแคน จะนั่งเป็นวง ส่วนผู้ฟังอื่น ๆ ก็นั่งเป็นวงล้อมรอบ หมอลำบางครั้งจะมีการฟ้อนด้วย ส่วนผู้จ่ายผญา จะไม่มีการฟ้อน ในบางครั้งจะทำงานไปด้วยแก้ผญาไปด้วย เช่น เวลาลงข่วง หมอลำชายจะลำ เกี้ยว ฝ่ายหญิงจะเข็นฝ้ายไปแก้ผญาไป นอกจากหมอลำ หมอแคนแล้ว บางครั้งจะมีหมอสอยทำ การสอยสอดแทรกเป็นจังหวะไป ทำให้ผู้ฟังได้รับความสนุกสนาน การจ่ายผญาในครั้งแรก ๆ นั้น เป็นการพูดธรรมดา ไม่มีการเอื้อนเสียงยาว และนั่งพูดจ่ายตามธรรมดา ต่อมาได้มีการดัดแปลง ให้มีการเอื้อนเสียงยาว มีจังหวะและสัมผัสนอกสัมผัสในด้วย ทำให้เกิดความไพเราะ และมีการเป่า แคนประกอบจนกลายมาเป็น "หมอลำผญา" ซึ่งพึ่งมีขึ้นประมาณ 30-40 ปีมานี้เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไปการพัฒนาของการจ่ายผญาจึงมีมากขึ้น จากการนั่งจ่ายผญา ซึ่งมองกันว่าไม่ค่อยถนัดและไม่ถึงอกถึงใจผู้ฟัง (ด้วยขาดการแสดงออกด้านท่าทางประกอบ) จึงมีการเปลี่ยนมาเป็นยืนลำ ทำให้มีการฟ้อนประกอบไปด้วย จากดนตรีประกอบที่มีเพียง แคน ก็ได้นำเอากลอง ฉิ่ง ฉาบ และดนตรีอื่น ๆ เข้ามาประกอบ จากผู้แสดงเพียง 2 คนก็ค่อย ๆ เพิ่มเป็น 3, 4 และ 5 คน จนมารวมกันเป็นคณะ เรียกว่า คณะหมอลำผญา บางคณะได้มีหางเครื่องเข้ามา
ประกอบด้วยประเภทของผญา ผญาเมื่อแบ่งแยกหมวดหมู่ออกไปอย่างคร่าว ๆ ก็สามารถแบ่งออกได้เป็น 5 ประเภท คือ
1. ผญาคำสอน
2. ผญาปริศนา
3. ผญาภาษิตสะกิดใจ
4. ผญาเกี้ยวพาราสีทั่วไป
5. ผญาเกี้ยวพาราสีโต้ตอบหนุ่มสาว
6. ผญาหมวดภาษิตคำเปรียบเปรยต่างๆ
7. ผญาปัญหาภาษิต
Read more...
ผญา
คนอีสานมีคำคม สุภาษิตสำหรับสั่งสอนลูกหลานให้ประพฤติตนอยู่ในฮีตคอง (จารีต- ประเพณี) ไม่ออกนอกลู่นอกทาง คำคมเหล่านี้รู้จักกันทั่วไป ในชื่อ "ผญา" หมายถึง ปัญญา, ปรัชญา, ความฉลาด, คำภาษิตที่มีความหมายลึกซึ้ง (wisdom, philosophy, maxim, aphorism.)ปัญญา ปรัชญา หรือผญา เป็นกลุ่มภาษาเดียวกัน มีความหมายคล้ายคลึงกัน ใกล้ เคียงกันหรือบางครั้งใช้แทนกันได้ ซึ่งหมายถึง ปัญญา ความรู้ ไหวพริบ สติปัญญา ความเฉลียว ฉลาดปราชญ์เปรื่อง หรือบางท่านบอกว่า ผญา มาจากปัญญา โดยเอา ป เป็น ผ เหมือนกับ เปรต เป็น เผด โปรด เป็น โผด เป็นต้น ผญาเป็นลักษณะแห่งความคิดที่แสดงออกมาทางคำพูด ซึ่งอาจ จะมีสัมผัสหรือไม่ก็ได้
ผญา คือ คำคม สุภาษิต หรือคำพูดที่เป็นปริศนา คือฟังแล้วต้องนำมาคิด มาวิเคราะห์ เพื่อค้นหาคำตอบที่เป็นจริงและชัดเจนว่า หมายถึงอะไร
ผญา เป็นคำพูดที่คล้องจองกัน ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องมีสัมผัสเสมอไป แต่เวลาพูดจะ ไพเราะสละสลวย และในการพูดนั้นจะขึ้นอยู่กับจังหวะหนักเบาด้วย ผญา เป็นการพูดที่ต้องใช้ไหวพริบ สติปัญญา มีเชาวน์ มีอารมณ์คมคาย พูดสั้นแต่กิน ใจความมากการพูดผญาเป็นการพูดที่กินใจ การพูดคุยด้วยคารมคมคาย ซึ่งเรียกว่า ผญา นั้น ทำให้ผู้ฟังได้ทั้งความรู้และความคิดสติปัญญา ความสนุกเพลิดเพลิน ยิ่งไปกว่านั้น ยังทำให้เกิด ความรักด้วย จึงทำให้หนุ่มสาวฝนสมัยก่อน นิยมพูดผญากันมาก และการโต้ตอบเชิงปัญญาที่ทำ ให้แต่ละฝ่ายเฟ้นหาคำตอบ เพื่อเอาชนะกันนั้นจึงก่อให้เกิดความซาบซึ้ง ล้ำลึกสามารถผูกมัด จิตใจของหนุ่มสาวไม่น้อย ดังนั้น ผญา จึงเป็นเมืองมนต์ขลัง ที่ตรึงจิตใจหนุ่มสาวให้แนบแน่น ลึกซึ้งลงไป
ภาษิตโบราณอีสานแต่ละภาษิตมีความหมายลึกบ้าง ตื้นบ้าง หยาบก็มี ละเอียด ก็มี ถ้าท่านได้พบภาษิตที่หยาบ ๆ โปรดได้เข้าใจว่า คนโบราณชอบสอนแบบตาเห็น ภาษิตประจำ ชาติใด ก็เป็นคำไพเราะเหมาะสมแก่คนชาตินั้น คนในชาตินั้นนิยมชมชอบว่าเป็นของดี ส่วนคน ในชาติอื่น อาจเห็นว่าเป็นคำไม่ไพเราะเหมาะสมก็ได้ ความจริง "ภาษิต" คือรูปภาพของวัฒนธรรม แห่งชาติ นั่นเอง การจ่ายผญา หรือการแก้ผญา
การจ่ายผญา แก้ผญา เว้าผญา หรือพูดผญา คือการตอบคำถาม ซึ่งมึผู้ถามมาแล้ว ก็ตอบไป เป็นการพูดธรรมดา ไม่มีการเอื้อนเสียง ไม่มีทำนอง แต่เป็นจังหวะ มีวรรคตอนเท่านั้น ผู้ถามส่วนใหญ่จะเป็นหมอลำฝ่ายชาย คือลำเป็นคำถาม ฝ่ายหญิงจะเป็นฝ่ายตอบ หรือจ่ายผญา ด้วยเหตุนี้จึงมักจะเรียกว่า ลำผญา หรือลำผญาญ่อย เช่น(ชาย) ..... อ้ายนี้อยากถามข่าวน้ำ ถามข่าวถึงปลา อยากถามข่าวนา ถามข่าวถึงเข้า (ข้าว) อ้ายอยากถามข่าวน้อง ว่ามีผัวแล้วหรือบ่ หรือว่ามีแต่ชู้ ผัวสิซ้อนหากบ่มี(หญิง) ..... น้องนี้ปอดอ้อยซ้อยเสมอดังตองตัด พัดแต่เป็นหญิงมา บ่มีชายสิมาเกี้ยว พัดแต่สอนลอนขึ้น บ่มีเครือสิเกี้ยวพุ่ม พัดแต่เป็นพุ่มไม้เครือสิเกี้ยวกะบ่มีหมอผญาที่ควรกล่าวถึงในที่นี้ คือ แม่ดา ซามงค์ แม่สำอางค์ อุณวงศ์ แม่เป๋อ พลเพ็ง แม่บุญเหลื่อม พลเพ็ง แห่งบ้านดอนตาล อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร เป็นต้นการลำและจ่ายผญา ในสมัยโบราณนั้นจะนั่งกับพื้น คือ หมอลำ หมอผญาและหมอแคน จะนั่งเป็นวง ส่วนผู้ฟังอื่น ๆ ก็นั่งเป็นวงล้อมรอบ หมอลำบางครั้งจะมีการฟ้อนด้วย ส่วนผู้จ่ายผญา จะไม่มีการฟ้อน ในบางครั้งจะทำงานไปด้วยแก้ผญาไปด้วย เช่น เวลาลงข่วง หมอลำชายจะลำ เกี้ยว ฝ่ายหญิงจะเข็นฝ้ายไปแก้ผญาไป นอกจากหมอลำ หมอแคนแล้ว บางครั้งจะมีหมอสอยทำ การสอยสอดแทรกเป็นจังหวะไป ทำให้ผู้ฟังได้รับความสนุกสนาน การจ่ายผญาในครั้งแรก ๆ นั้น เป็นการพูดธรรมดา ไม่มีการเอื้อนเสียงยาว และนั่งพูดจ่ายตามธรรมดา ต่อมาได้มีการดัดแปลง ให้มีการเอื้อนเสียงยาว มีจังหวะและสัมผัสนอกสัมผัสในด้วย ทำให้เกิดความไพเราะ และมีการเป่า แคนประกอบจนกลายมาเป็น "หมอลำผญา" ซึ่งพึ่งมีขึ้นประมาณ 30-40 ปีมานี้เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไปการพัฒนาของการจ่ายผญาจึงมีมากขึ้น จากการนั่งจ่ายผญา ซึ่งมองกันว่าไม่ค่อยถนัดและไม่ถึงอกถึงใจผู้ฟัง (ด้วยขาดการแสดงออกด้านท่าทางประกอบ) จึงมีการเปลี่ยนมาเป็นยืนลำ ทำให้มีการฟ้อนประกอบไปด้วย จากดนตรีประกอบที่มีเพียง แคน ก็ได้นำเอากลอง ฉิ่ง ฉาบ และดนตรีอื่น ๆ เข้ามาประกอบ จากผู้แสดงเพียง 2 คนก็ค่อย ๆ เพิ่มเป็น 3, 4 และ 5 คน จนมารวมกันเป็นคณะ เรียกว่า คณะหมอลำผญา บางคณะได้มีหางเครื่องเข้ามา
ประกอบด้วยประเภทของผญา ผญาเมื่อแบ่งแยกหมวดหมู่ออกไปอย่างคร่าว ๆ ก็สามารถแบ่งออกได้เป็น 5 ประเภท คือ
1. ผญาคำสอน
2. ผญาปริศนา
3. ผญาภาษิตสะกิดใจ
4. ผญาเกี้ยวพาราสีทั่วไป
5. ผญาเกี้ยวพาราสีโต้ตอบหนุ่มสาว
6. ผญาหมวดภาษิตคำเปรียบเปรยต่างๆ
7. ผญาปัญหาภาษิต
ภาษา
เขียนโดย Gig | ที่ 17:58 | 0 ความคิดเห็นภาษาอีสาน
ภาษาพูดของคนอีสานในแต่ละท้องถิ่นนั้นจะมีสำเนียงที่แตกต่างกันออกไป ตามสภาพทางภูมิศาสตร์ที่มีอาณาเขตติดต่อกับถิ่นใดรวมทั้งบรรพบุรุษของท้องถิ่นนั้นๆด้วย เช่น แถบจังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ มีชายแดนติด กับเขมร สำเนียงและรากเหง้าของภาษาก็จะมีคำของภาษาเขมรปะปนอยู่ด้วย ทางด้านจังหวัด สกลนคร นครพนม มุกดาหาร หนองคาย เลย ที่ติดกับประเทศลาวและมีชาวเวียดนามเข้ามาอาศัยอยู่ค่อนข้างมากก็จะมีอีกสำเนียงหนึ่ง ชนเผ่าดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นๆ ก็จะมีสำเนียงที่มีเอกลักษณ์เป็นของตนเองและยังคงรักษาเอกลักษณ์นั้นไว้ ตราบจนปัจจุบัน เช่น ชาวภูไท ในจังหวัดมุกดาหารและนครพนม
ถึงแม้ชาวอีสานจะมีภาษาพูดที่มีความแตกต่างกันในแต่ละท้องถิ่น แต่ในภาษาอีสานก็มีสิ่งหนึ่งที่ยังคงมีความคล้ายกันก็คือ ลักษณะของคำและความหมายต่างๆ ที่ยัง คงสื่อความถึงกันได้ทั่วทั้งภาค ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ชาวอีสานต่างท้องถิ่นกันสามารถสื่อสารกันได้เป็นอย่างดี ถ้าจะถามว่าภาษาถิ่นแท้จริงของชาวอีสานใช้กันอยู่ที่ใดคงจะตอบไม่ได้ เพราะภาษาที่คนในท้องถิ่นต่างๆใช้กันก็ล้วนเป็นภาษาอีสานทั้งนั้น ถึงแม้จะเป็นภาษาที่มีความแตกต่างกัน แต่ก็มีรากศัพท์ในการสื่อความหมายที่คล้ายคลึงกัน
ในปัจจุบันชาวอีสานตามเมืองใหญ่ โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่นได้หันมาใช้ภาษาไทยกลางกันมากขึ้น เพราะวัยรุ่นเหล่านี้ส่วนใหญ่ได้รับการศึกษาที่ดีเทียบเท่ากับคนในภาคกลางหรือกรุงเทพมหานคร ทำให้ภาษาอีสานเริ่มลดความสำคัญลง เช่นเดียวกันกับภาษาพื้นเมืองของภาคอื่นๆ แต่ผู้คนตามชนบทและคนเฒ่าคนแก่ยังใช้ภาษาอีสานกันเป็นภาษาหลักอยู่ ทั้งนี้คนอีสานส่วนใหญ่จะสามารถสื่อสารได้ทั้งภาษาอีสานของท้องถิ่นตนเองและภาษาไทยกลาง หากท่านเดินทางไปในชนบทของอีสานจะพบการใช้ภาษาถิ่นที่แตกต่างกันไปดังที่กล่าวมาแล้ว แต่คนอีสานเหล่านี้โดยเฉพาะวัยรุ่นหนุ่มสาวก็จะสามารถสื่อสารกับท่านเป็นภาษาไทยกลางได้อีกด้วย ทั้งนี้เพราะวัยรุ่นชาวอีสานใหญ่จะเข้ามาหางานทำในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เมื่อก่อนจะไปหางานทำเฉพาะหลังฤดูทำนา แต่ในปัจจุบันวัยรุ่นส่วนใหญ่จะเข้ากรุงเทพฯและทำงานที่นั่นตลอดทั้งปี ชาวอีสานที่ไปต่างถิ่นนอกจากจะหางานทำแล้ว ก็ยังมีการเผยแพร่วัฒนธรรมรวมทั้งภาษาของตนเองไปในตัว จะเห็นได้จากในปัจจุบันชาวไทยจำนวนมากเริ่มเข้าใจภาษาอีสาน ทั้งจากเพลงลูกทุ่งภาษาอีสานที่ได้รับความนิยมกันทั่วประเทศและจากคนรอบตัวที่เป็นคนอีสาน ทำให้ภาษาอีสานยังคงสามารถสืบสานต่อไปได้อยู่ถึงแม้จะมีคนอีสานบางกลุ่มเลิกใช้
Read more...
ภาษาพูดของคนอีสานในแต่ละท้องถิ่นนั้นจะมีสำเนียงที่แตกต่างกันออกไป ตามสภาพทางภูมิศาสตร์ที่มีอาณาเขตติดต่อกับถิ่นใดรวมทั้งบรรพบุรุษของท้องถิ่นนั้นๆด้วย เช่น แถบจังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ มีชายแดนติด กับเขมร สำเนียงและรากเหง้าของภาษาก็จะมีคำของภาษาเขมรปะปนอยู่ด้วย ทางด้านจังหวัด สกลนคร นครพนม มุกดาหาร หนองคาย เลย ที่ติดกับประเทศลาวและมีชาวเวียดนามเข้ามาอาศัยอยู่ค่อนข้างมากก็จะมีอีกสำเนียงหนึ่ง ชนเผ่าดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นๆ ก็จะมีสำเนียงที่มีเอกลักษณ์เป็นของตนเองและยังคงรักษาเอกลักษณ์นั้นไว้ ตราบจนปัจจุบัน เช่น ชาวภูไท ในจังหวัดมุกดาหารและนครพนม
ถึงแม้ชาวอีสานจะมีภาษาพูดที่มีความแตกต่างกันในแต่ละท้องถิ่น แต่ในภาษาอีสานก็มีสิ่งหนึ่งที่ยังคงมีความคล้ายกันก็คือ ลักษณะของคำและความหมายต่างๆ ที่ยัง คงสื่อความถึงกันได้ทั่วทั้งภาค ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ชาวอีสานต่างท้องถิ่นกันสามารถสื่อสารกันได้เป็นอย่างดี ถ้าจะถามว่าภาษาถิ่นแท้จริงของชาวอีสานใช้กันอยู่ที่ใดคงจะตอบไม่ได้ เพราะภาษาที่คนในท้องถิ่นต่างๆใช้กันก็ล้วนเป็นภาษาอีสานทั้งนั้น ถึงแม้จะเป็นภาษาที่มีความแตกต่างกัน แต่ก็มีรากศัพท์ในการสื่อความหมายที่คล้ายคลึงกัน
ในปัจจุบันชาวอีสานตามเมืองใหญ่ โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่นได้หันมาใช้ภาษาไทยกลางกันมากขึ้น เพราะวัยรุ่นเหล่านี้ส่วนใหญ่ได้รับการศึกษาที่ดีเทียบเท่ากับคนในภาคกลางหรือกรุงเทพมหานคร ทำให้ภาษาอีสานเริ่มลดความสำคัญลง เช่นเดียวกันกับภาษาพื้นเมืองของภาคอื่นๆ แต่ผู้คนตามชนบทและคนเฒ่าคนแก่ยังใช้ภาษาอีสานกันเป็นภาษาหลักอยู่ ทั้งนี้คนอีสานส่วนใหญ่จะสามารถสื่อสารได้ทั้งภาษาอีสานของท้องถิ่นตนเองและภาษาไทยกลาง หากท่านเดินทางไปในชนบทของอีสานจะพบการใช้ภาษาถิ่นที่แตกต่างกันไปดังที่กล่าวมาแล้ว แต่คนอีสานเหล่านี้โดยเฉพาะวัยรุ่นหนุ่มสาวก็จะสามารถสื่อสารกับท่านเป็นภาษาไทยกลางได้อีกด้วย ทั้งนี้เพราะวัยรุ่นชาวอีสานใหญ่จะเข้ามาหางานทำในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เมื่อก่อนจะไปหางานทำเฉพาะหลังฤดูทำนา แต่ในปัจจุบันวัยรุ่นส่วนใหญ่จะเข้ากรุงเทพฯและทำงานที่นั่นตลอดทั้งปี ชาวอีสานที่ไปต่างถิ่นนอกจากจะหางานทำแล้ว ก็ยังมีการเผยแพร่วัฒนธรรมรวมทั้งภาษาของตนเองไปในตัว จะเห็นได้จากในปัจจุบันชาวไทยจำนวนมากเริ่มเข้าใจภาษาอีสาน ทั้งจากเพลงลูกทุ่งภาษาอีสานที่ได้รับความนิยมกันทั่วประเทศและจากคนรอบตัวที่เป็นคนอีสาน ทำให้ภาษาอีสานยังคงสามารถสืบสานต่อไปได้อยู่ถึงแม้จะมีคนอีสานบางกลุ่มเลิกใช้
ภาษา
เขียนโดย Gig | ที่ 17:58 | 0 ความคิดเห็นภาษาอีสาน
ภาษาพูดของคนอีสานในแต่ละท้องถิ่นนั้นจะมีสำเนียงที่แตกต่างกันออกไป ตามสภาพทางภูมิศาสตร์ที่มีอาณาเขตติดต่อกับถิ่นใดรวมทั้งบรรพบุรุษของท้องถิ่นนั้นๆด้วย เช่น แถบจังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ มีชายแดนติด กับเขมร สำเนียงและรากเหง้าของภาษาก็จะมีคำของภาษาเขมรปะปนอยู่ด้วย ทางด้านจังหวัด สกลนคร นครพนม มุกดาหาร หนองคาย เลย ที่ติดกับประเทศลาวและมีชาวเวียดนามเข้ามาอาศัยอยู่ค่อนข้างมากก็จะมีอีกสำเนียงหนึ่ง ชนเผ่าดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นๆ ก็จะมีสำเนียงที่มีเอกลักษณ์เป็นของตนเองและยังคงรักษาเอกลักษณ์นั้นไว้ ตราบจนปัจจุบัน เช่น ชาวภูไท ในจังหวัดมุกดาหารและนครพนม
ถึงแม้ชาวอีสานจะมีภาษาพูดที่มีความแตกต่างกันในแต่ละท้องถิ่น แต่ในภาษาอีสานก็มีสิ่งหนึ่งที่ยังคงมีความคล้ายกันก็คือ ลักษณะของคำและความหมายต่างๆ ที่ยัง คงสื่อความถึงกันได้ทั่วทั้งภาค ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ชาวอีสานต่างท้องถิ่นกันสามารถสื่อสารกันได้เป็นอย่างดี ถ้าจะถามว่าภาษาถิ่นแท้จริงของชาวอีสานใช้กันอยู่ที่ใดคงจะตอบไม่ได้ เพราะภาษาที่คนในท้องถิ่นต่างๆใช้กันก็ล้วนเป็นภาษาอีสานทั้งนั้น ถึงแม้จะเป็นภาษาที่มีความแตกต่างกัน แต่ก็มีรากศัพท์ในการสื่อความหมายที่คล้ายคลึงกัน
ในปัจจุบันชาวอีสานตามเมืองใหญ่ โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่นได้หันมาใช้ภาษาไทยกลางกันมากขึ้น เพราะวัยรุ่นเหล่านี้ส่วนใหญ่ได้รับการศึกษาที่ดีเทียบเท่ากับคนในภาคกลางหรือกรุงเทพมหานคร ทำให้ภาษาอีสานเริ่มลดความสำคัญลง เช่นเดียวกันกับภาษาพื้นเมืองของภาคอื่นๆ แต่ผู้คนตามชนบทและคนเฒ่าคนแก่ยังใช้ภาษาอีสานกันเป็นภาษาหลักอยู่ ทั้งนี้คนอีสานส่วนใหญ่จะสามารถสื่อสารได้ทั้งภาษาอีสานของท้องถิ่นตนเองและภาษาไทยกลาง หากท่านเดินทางไปในชนบทของอีสานจะพบการใช้ภาษาถิ่นที่แตกต่างกันไปดังที่กล่าวมาแล้ว แต่คนอีสานเหล่านี้โดยเฉพาะวัยรุ่นหนุ่มสาวก็จะสามารถสื่อสารกับท่านเป็นภาษาไทยกลางได้อีกด้วย ทั้งนี้เพราะวัยรุ่นชาวอีสานใหญ่จะเข้ามาหางานทำในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เมื่อก่อนจะไปหางานทำเฉพาะหลังฤดูทำนา แต่ในปัจจุบันวัยรุ่นส่วนใหญ่จะเข้ากรุงเทพฯและทำงานที่นั่นตลอดทั้งปี ชาวอีสานที่ไปต่างถิ่นนอกจากจะหางานทำแล้ว ก็ยังมีการเผยแพร่วัฒนธรรมรวมทั้งภาษาของตนเองไปในตัว จะเห็นได้จากในปัจจุบันชาวไทยจำนวนมากเริ่มเข้าใจภาษาอีสาน ทั้งจากเพลงลูกทุ่งภาษาอีสานที่ได้รับความนิยมกันทั่วประเทศและจากคนรอบตัวที่เป็นคนอีสาน ทำให้ภาษาอีสานยังคงสามารถสืบสานต่อไปได้อยู่ถึงแม้จะมีคนอีสานบางกลุ่มเลิกใช้
Read more...
ภาษาพูดของคนอีสานในแต่ละท้องถิ่นนั้นจะมีสำเนียงที่แตกต่างกันออกไป ตามสภาพทางภูมิศาสตร์ที่มีอาณาเขตติดต่อกับถิ่นใดรวมทั้งบรรพบุรุษของท้องถิ่นนั้นๆด้วย เช่น แถบจังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ มีชายแดนติด กับเขมร สำเนียงและรากเหง้าของภาษาก็จะมีคำของภาษาเขมรปะปนอยู่ด้วย ทางด้านจังหวัด สกลนคร นครพนม มุกดาหาร หนองคาย เลย ที่ติดกับประเทศลาวและมีชาวเวียดนามเข้ามาอาศัยอยู่ค่อนข้างมากก็จะมีอีกสำเนียงหนึ่ง ชนเผ่าดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นๆ ก็จะมีสำเนียงที่มีเอกลักษณ์เป็นของตนเองและยังคงรักษาเอกลักษณ์นั้นไว้ ตราบจนปัจจุบัน เช่น ชาวภูไท ในจังหวัดมุกดาหารและนครพนม
ถึงแม้ชาวอีสานจะมีภาษาพูดที่มีความแตกต่างกันในแต่ละท้องถิ่น แต่ในภาษาอีสานก็มีสิ่งหนึ่งที่ยังคงมีความคล้ายกันก็คือ ลักษณะของคำและความหมายต่างๆ ที่ยัง คงสื่อความถึงกันได้ทั่วทั้งภาค ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ชาวอีสานต่างท้องถิ่นกันสามารถสื่อสารกันได้เป็นอย่างดี ถ้าจะถามว่าภาษาถิ่นแท้จริงของชาวอีสานใช้กันอยู่ที่ใดคงจะตอบไม่ได้ เพราะภาษาที่คนในท้องถิ่นต่างๆใช้กันก็ล้วนเป็นภาษาอีสานทั้งนั้น ถึงแม้จะเป็นภาษาที่มีความแตกต่างกัน แต่ก็มีรากศัพท์ในการสื่อความหมายที่คล้ายคลึงกัน
ในปัจจุบันชาวอีสานตามเมืองใหญ่ โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่นได้หันมาใช้ภาษาไทยกลางกันมากขึ้น เพราะวัยรุ่นเหล่านี้ส่วนใหญ่ได้รับการศึกษาที่ดีเทียบเท่ากับคนในภาคกลางหรือกรุงเทพมหานคร ทำให้ภาษาอีสานเริ่มลดความสำคัญลง เช่นเดียวกันกับภาษาพื้นเมืองของภาคอื่นๆ แต่ผู้คนตามชนบทและคนเฒ่าคนแก่ยังใช้ภาษาอีสานกันเป็นภาษาหลักอยู่ ทั้งนี้คนอีสานส่วนใหญ่จะสามารถสื่อสารได้ทั้งภาษาอีสานของท้องถิ่นตนเองและภาษาไทยกลาง หากท่านเดินทางไปในชนบทของอีสานจะพบการใช้ภาษาถิ่นที่แตกต่างกันไปดังที่กล่าวมาแล้ว แต่คนอีสานเหล่านี้โดยเฉพาะวัยรุ่นหนุ่มสาวก็จะสามารถสื่อสารกับท่านเป็นภาษาไทยกลางได้อีกด้วย ทั้งนี้เพราะวัยรุ่นชาวอีสานใหญ่จะเข้ามาหางานทำในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เมื่อก่อนจะไปหางานทำเฉพาะหลังฤดูทำนา แต่ในปัจจุบันวัยรุ่นส่วนใหญ่จะเข้ากรุงเทพฯและทำงานที่นั่นตลอดทั้งปี ชาวอีสานที่ไปต่างถิ่นนอกจากจะหางานทำแล้ว ก็ยังมีการเผยแพร่วัฒนธรรมรวมทั้งภาษาของตนเองไปในตัว จะเห็นได้จากในปัจจุบันชาวไทยจำนวนมากเริ่มเข้าใจภาษาอีสาน ทั้งจากเพลงลูกทุ่งภาษาอีสานที่ได้รับความนิยมกันทั่วประเทศและจากคนรอบตัวที่เป็นคนอีสาน ทำให้ภาษาอีสานยังคงสามารถสืบสานต่อไปได้อยู่ถึงแม้จะมีคนอีสานบางกลุ่มเลิกใช้
ฮีตสิบสองคองสิบสี่
เขียนโดย Gig | ที่ 17:24 | 0 ความคิดเห็นฮีตสิบสองคองสิบสี่
ฮีตสิบสอง
ฮีตสิบสองมาจากคำ 2 คำ คือ ฮีต กับ สิบสอง ฮีตมาจากคำว่า จารีต หมายถึงสิ่งที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาจนกลายเป็นประเพณีที่ดีงาม ชาวอีสาน เรียกว่า จาฮีต หรือฮีต สิบสอง หมายถึง เดือนทั้ง 12 เดือน ในหนึ่งปีฮีตสิบสอง จึงหมายถึง ประเพณีที่ประชาชนชาวอีสานได้ปฏิบัติสืบต่อกันมาในโอกาสต่างๆ ทั้งสิบสองเดือนในแต่ละปี ประเพณีทั้งสิบสองเดือนที่ชาวอีสานถือปฏิบัติกันมานั้นล้วนเป็นประเพณีที่ส่งเสริมให้คนในชุมชน ได้ออกมาร่วมกิจกรรมพบปะสังสรรค์กัน เพื่อความสนุกสนานรื่นเริงและเพื่อความสมานสามัคคีมีความรักใคร่กัน ของคนในท้องถิ่น ซึ่งเป็นการสืบทอดสิ่งที่ดีงามมาจวบจนปัจจุบัน ประเพณีอีสานส่วนใหญ่จะมีเอกลักษณ์แตกต่างจากประเพณีภาคอื่นๆ (อาจคล้ายคลึงกับประเพณีของทางภาคเหนือบ้างเพราะมีที่มาค่อนข้างใกล้ชิดกัน)ประเพณีอีสาน ได้รับอิทธิพลมา จากวัฒนธรรมล้านช้าง(แถบหลวงพระบางประเทศลาว)จึงจะเห็นได้ ว่าประเพณีของชาวอีสาน และชาวลาวมีความคล้ายกันเพราะมีที่มาเดียวกันและชาวอีสานและชาวลาวก็ไปมาหาสู่กันเป็นประจำ เยี่ยงญาติพี่น้องทำให้มีการถ่ายเทวัฒนธรรมระหว่างกันด้วย ฮีตสิบสองได้แก่
เดือนอ้าย(เดือนเจียง)-บุญข้าวกรรม
เดือนยี่ - บุญคูณลาน
เดือนสาม-บุญข้าวจี่
เดือนสี่-บุญเผวส
เดือนห้า-บุญสงกรานต์
เดือนหก-บุญบั้งไฟ
เดือนเจ็ด-บุญซำฮะ
เดือนแปด-บุญเข้าพรรษา
เดือนเก้า-บุญข้าวประดับดิน
เดือนสิบ-บุญข้าวสาก
เดือนสิบเอ็ด-บุญออกพรรษา
เดือนสิบสอง-บุญกฐิน
่
คองสิบสี่
คองสิบสี่ หมายถึง ครองธรรม 14 อย่าง เป็นกรอบหรือแนวทางที่ใช้ปฏิบัติระหว่างกัน ของผู้ปกครองกับผู้ใต้ปกครอง พระสงฆ์ และระหว่างบุคคลทั่วไป เพื่อความสงบสุขร่มเย็นของ บ้านเมือง คลองสิบสี่มีหลายแบบหลายประเภท พอจะยกตัวอย่างได้ดังนี้
คองสิบสี่แบบที่ 1 - กล่าวถึงผู้เกี่ยวข้องกับครอบครัวในสังคมตลอดจนผู้มี่หน้าที่ปกครองบ้านเมือง คองสิบสี่แบบที่ 2 - กล่าวถึงหลักการที่พระมหากษัตริย์ทรงปฏิบัติในการปกคลองบ้านเมือง และข้อที่ประชาชนควรปฏิบัติต่อพระมหากษัตริย์ และจารีตประเพณีที่พึงปฏิบัติให้บ้านเมืองสงบสุข คองสิบสี่แบบที่ 3 - กล่าวถึงธรรมที่พระราชาพึงยึดถือปฏิบัติ และเน้นหนักให้ประชาชนปฏิบัติตามจารีตประเพณี และข้อที่คนในครอบครัวพึงปฏิบัติต่อกัน คองสิบสี่แบบที่ 4 - กล่าวถึงไปแนวทางฮีตบ้านคลองเมือง คือการดำเนินการปกครองบ้านเมืองเพื่อ ให้บ้านเมืองอยู่เป็นสุขและปฏิบัติตามประเพณี
คองสิบสี่สำหรับพระสงฆ์
คองสิบสี่สำหรับนักปกครอง
คองสิบสี่สำหรับประชาชน
เพิ่มเติม คลอง (ครรลอง) คือแบบแผนหรือแนวทางดำเนินชีวิตคล้ายๆ กับคำฝรั่งหนึ่งว่า "Way of life" แต่คลองในที่นี้มุ่งไปทางศีลธรรมประเพณีที่ถูกผิดมากกว่าด้านอาชีพ เห็นจะตรงกับภาคกลางว่า ทำนองคลองธรรม นั่นเอง แต่ชาวอีสานออกเสียงคลองเป็นคองไม่มีกล้ำ เช่นว่าถ้าทำไม่ถูกผู้ใหญ่ท่านจะเตือนว่า "เฮ็ดบ่แม่นคอง" หรือว่า "เฮ็ดให้ถือฮีตถือคอง" เป็นต้นฉบับของท่านเจ้าพระอริยานุวัตร มีคำฮีตนำหน้าด้วย คือ
1. ฮีตเจ้าคลองขุน เป็นหลักสำหรับผู้ปกครองในสมัยโบราณ ขุนก็คือเจ้าเมือง เช่น ขุนเบฮม ขุนลอ ขุนทึง เป็นต้น (ภาคกลางก็มีเช่นพ่อขุนรามคำแหง)
2. ฮีตท้าวคลองเพีย (เจ้าปกครองขุน)
3. ฮีตไพร่คลองนาย (ไพร่ปฎิบัติต่อนาย)
4. ฮีตบ้านคลองเมือง (ประเพณีของบ้านเมือง)
5. ฮีตปู่คลองย่า
6. ฮีตตาคลองยาย
7. ฮีตพ่อคลองแม่ (พรหมวิหารธรรม)
8. ฮีตไภ้คลองเขย (หลักปฎิบัติของลูกสะใภ้ลูกเขย)
9. ฮีตป้าคลองลุง
10. ฮีตลูกคลองหลาน
11. ฮีตเถ้าคลองแก่ (ธรรมของผู้ชายที่มีต่อเด็ก)
12. ฮีตปีคลองเดือน (คือฮีตสิบสองนั่นเอง)
13. ฮีตไฮ่คลองนา
14. ฮีตวัดคลองสงฆ์
Read more...
ฮีตสิบสอง
ฮีตสิบสองมาจากคำ 2 คำ คือ ฮีต กับ สิบสอง ฮีตมาจากคำว่า จารีต หมายถึงสิ่งที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาจนกลายเป็นประเพณีที่ดีงาม ชาวอีสาน เรียกว่า จาฮีต หรือฮีต สิบสอง หมายถึง เดือนทั้ง 12 เดือน ในหนึ่งปีฮีตสิบสอง จึงหมายถึง ประเพณีที่ประชาชนชาวอีสานได้ปฏิบัติสืบต่อกันมาในโอกาสต่างๆ ทั้งสิบสองเดือนในแต่ละปี ประเพณีทั้งสิบสองเดือนที่ชาวอีสานถือปฏิบัติกันมานั้นล้วนเป็นประเพณีที่ส่งเสริมให้คนในชุมชน ได้ออกมาร่วมกิจกรรมพบปะสังสรรค์กัน เพื่อความสนุกสนานรื่นเริงและเพื่อความสมานสามัคคีมีความรักใคร่กัน ของคนในท้องถิ่น ซึ่งเป็นการสืบทอดสิ่งที่ดีงามมาจวบจนปัจจุบัน ประเพณีอีสานส่วนใหญ่จะมีเอกลักษณ์แตกต่างจากประเพณีภาคอื่นๆ (อาจคล้ายคลึงกับประเพณีของทางภาคเหนือบ้างเพราะมีที่มาค่อนข้างใกล้ชิดกัน)ประเพณีอีสาน ได้รับอิทธิพลมา จากวัฒนธรรมล้านช้าง(แถบหลวงพระบางประเทศลาว)จึงจะเห็นได้ ว่าประเพณีของชาวอีสาน และชาวลาวมีความคล้ายกันเพราะมีที่มาเดียวกันและชาวอีสานและชาวลาวก็ไปมาหาสู่กันเป็นประจำ เยี่ยงญาติพี่น้องทำให้มีการถ่ายเทวัฒนธรรมระหว่างกันด้วย ฮีตสิบสองได้แก่
เดือนอ้าย(เดือนเจียง)-บุญข้าวกรรม
เดือนยี่ - บุญคูณลาน
เดือนสาม-บุญข้าวจี่
เดือนสี่-บุญเผวส
เดือนห้า-บุญสงกรานต์
เดือนหก-บุญบั้งไฟ
เดือนเจ็ด-บุญซำฮะ
เดือนแปด-บุญเข้าพรรษา
เดือนเก้า-บุญข้าวประดับดิน
เดือนสิบ-บุญข้าวสาก
เดือนสิบเอ็ด-บุญออกพรรษา
เดือนสิบสอง-บุญกฐิน
่
คองสิบสี่
คองสิบสี่ หมายถึง ครองธรรม 14 อย่าง เป็นกรอบหรือแนวทางที่ใช้ปฏิบัติระหว่างกัน ของผู้ปกครองกับผู้ใต้ปกครอง พระสงฆ์ และระหว่างบุคคลทั่วไป เพื่อความสงบสุขร่มเย็นของ บ้านเมือง คลองสิบสี่มีหลายแบบหลายประเภท พอจะยกตัวอย่างได้ดังนี้
คองสิบสี่แบบที่ 1 - กล่าวถึงผู้เกี่ยวข้องกับครอบครัวในสังคมตลอดจนผู้มี่หน้าที่ปกครองบ้านเมือง คองสิบสี่แบบที่ 2 - กล่าวถึงหลักการที่พระมหากษัตริย์ทรงปฏิบัติในการปกคลองบ้านเมือง และข้อที่ประชาชนควรปฏิบัติต่อพระมหากษัตริย์ และจารีตประเพณีที่พึงปฏิบัติให้บ้านเมืองสงบสุข คองสิบสี่แบบที่ 3 - กล่าวถึงธรรมที่พระราชาพึงยึดถือปฏิบัติ และเน้นหนักให้ประชาชนปฏิบัติตามจารีตประเพณี และข้อที่คนในครอบครัวพึงปฏิบัติต่อกัน คองสิบสี่แบบที่ 4 - กล่าวถึงไปแนวทางฮีตบ้านคลองเมือง คือการดำเนินการปกครองบ้านเมืองเพื่อ ให้บ้านเมืองอยู่เป็นสุขและปฏิบัติตามประเพณี
คองสิบสี่สำหรับพระสงฆ์
คองสิบสี่สำหรับนักปกครอง
คองสิบสี่สำหรับประชาชน
เพิ่มเติม คลอง (ครรลอง) คือแบบแผนหรือแนวทางดำเนินชีวิตคล้ายๆ กับคำฝรั่งหนึ่งว่า "Way of life" แต่คลองในที่นี้มุ่งไปทางศีลธรรมประเพณีที่ถูกผิดมากกว่าด้านอาชีพ เห็นจะตรงกับภาคกลางว่า ทำนองคลองธรรม นั่นเอง แต่ชาวอีสานออกเสียงคลองเป็นคองไม่มีกล้ำ เช่นว่าถ้าทำไม่ถูกผู้ใหญ่ท่านจะเตือนว่า "เฮ็ดบ่แม่นคอง" หรือว่า "เฮ็ดให้ถือฮีตถือคอง" เป็นต้นฉบับของท่านเจ้าพระอริยานุวัตร มีคำฮีตนำหน้าด้วย คือ
1. ฮีตเจ้าคลองขุน เป็นหลักสำหรับผู้ปกครองในสมัยโบราณ ขุนก็คือเจ้าเมือง เช่น ขุนเบฮม ขุนลอ ขุนทึง เป็นต้น (ภาคกลางก็มีเช่นพ่อขุนรามคำแหง)
2. ฮีตท้าวคลองเพีย (เจ้าปกครองขุน)
3. ฮีตไพร่คลองนาย (ไพร่ปฎิบัติต่อนาย)
4. ฮีตบ้านคลองเมือง (ประเพณีของบ้านเมือง)
5. ฮีตปู่คลองย่า
6. ฮีตตาคลองยาย
7. ฮีตพ่อคลองแม่ (พรหมวิหารธรรม)
8. ฮีตไภ้คลองเขย (หลักปฎิบัติของลูกสะใภ้ลูกเขย)
9. ฮีตป้าคลองลุง
10. ฮีตลูกคลองหลาน
11. ฮีตเถ้าคลองแก่ (ธรรมของผู้ชายที่มีต่อเด็ก)
12. ฮีตปีคลองเดือน (คือฮีตสิบสองนั่นเอง)
13. ฮีตไฮ่คลองนา
14. ฮีตวัดคลองสงฆ์
ประเพณีไหลเรือไฟ
เขียนโดย Gig | ที่ 17:10 | 0 ความคิดเห็นประเพณีไหลเรือไฟ :: Illuminated Boat Procession
ประวัติความเป็นมา
งานประเพณีไหลเรือไฟ หรืองานประเพณีไหลเฮือไฟ (ในภาษาท้องถิ่น-อีสาน) เป็นประเพณีที่จัดขึ้นทั่วไปในหลาย จังหวัดในภาคอีสาน โดยเฉพาะจังหวัดที่ตั้งอยู่ติดลำน้ำ เช่น แม่น้ำมูล - ชี แม่น้ำโขง เป็นต้น การไหลเรือไฟ ในภาคอีสานนั้นเริ่มต้นครั้งแรกเมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐานยืนยันแน่ชัดสันนิษฐานว่าคงมีมาก่อนที่พุทธศาสนา จะเผยแพร่มาสู่ประเทศไทย เพราะสมัยก่อนกษัตริย์ไทยยังยึดถือพิธีพราหมณ์อยู่ โดยได้รับอิทธิพลมาจาก อินเดีย สมัยที่นำอารยธรรมเข้ามาเผยแพร่ในแถบสุวรรณภูมิ ดังพบว่าประเพณีงานบุญโดดเด่นที่จัดขึ้น ในภาคอีสานมักเกี่ยวโยงหรือผูกพันกับเรื่องของไฟเกือบทั้งสิ้น เช่น งานแห่เทียนเข้าพรรษา บุญบั้งไฟ พิธีไหลเรือไฟ เพราะมีความเชื่อว่า "ไฟ"เป็นเทพเจ้าองค์หนึ่งในศาสนาพราหมณ์ เรียกว่า เทพอัคคี มีฐานะรอง จากพระอินทร์ สามารถเผาผลาญสิ่งชั่วร้ายและขจัดความทุกข์ยากให้ดับสลายไปได้
จังหวัดต่าง ๆ ที่มีการจัดประเพณีไหลเรือไฟ เช่น จังหวัดศรีษะเกษ จังหวัดเลย จังหวัด นครพนม จังหวัดหนองคาย จังหวัดอุบลราชธานี ฯลฯ โดยงานประเพณีไหลเรือไฟของจังหวัดนครพนม จัดว่าเป็นงานไหลเรือไฟที่ยิ่งใหญ่ระดับประเทศมักจัดขึ้นคล้ายคลึงกัน แต่ก็แตกต่างกันในด้านคติ ความเชื่อ ดังรายละเอียดต่อไปนี้
จังหวัดนครพนมและหนองคาย(มีทำเลที่ตั้งติดแม่น้ำโขงเหมือนกัน) มีความเชื่อว่า เป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่ประทับไว้ ที่ริมฝั่งน้ำนัมทานที ซึ่งตามพุทธประวัติกล่าวว่า ครั้งที่พญานาคได้ทูลอาราธนาพระพุทธองค์ไปแสดงธรรม ในพิภพของนาคใต้เมืองบาดาล เมื่อพระองค์เสด็จกลับทางฝ่ายพญานาคได้ทูลขอให้พระองค์ประทับรอย พระบาทไว้ ณ ริมฝั่งน้ำนัมทานที พระองค์จึงได้ประทับรอยพระบาทไว้ ณ หาดทรายริมน้ำตามประสงค์ของ พญานาค ซึ่งรอยพระบาทที่ประทับไว้นี้ ไม่เพียงแต่เป็นที่เคารพสักการะของเหล่าพญานาคเท่านั้น ยังเป็นที่เคารพของเหล่าเทวดาและมนุษย์ด้วย จนแสดงออกด้วยการไหลเรือไฟบูชารอยพระพุทธบาทของพระองค์
ความเป็นมาของการจัดประเพณีไหลเรือไฟของจังหวัดนครพนม เสฐียรโกเศศ ได้เขียนไว้ ในหนังสือวัฒนธรรมและประเพณีอ้างตามคำบอกเล่าของพระเถระรูปหนึ่งว่า การลอยกระทงที่จังหวัด หนองคาย เมื่อกลางเดือน ๑๑ ชาวคุ้มวัดต่าง ๆ จะร่วมกันสร้างเรือนบนต้นกล้วย เอาไม้เสียบเรียงขนานกัน เป็นทุ่นใช้ผ้าชุบน้ำมันยางมัดติดปลายไม้ หรือใช้ไต้เรียงเป็นระยะ ๆ แล้วช่วยกันเอาเชือกลากออกไปกลาง กระแสน้ำ จุดไฟปล่อยไปในเวลากลางคืน เรียกว่า "ไหลเรือ" และเมื่อลอยไปแล้วมักจะถูกคนที่อยู่ใต้กระแส น้ำเก็บเอาไต้ที่จุดไปเสียทำให้กระทงที่ดูสว่างไสวสวยงามนั้นลอยอยู่ในน้ำไม่ได้นานหลายครั้งหลายหน เข้าผู้ร่วมมือร่วมแรงกันประดิษฐ์กระทงเรือก็หมดกำลังใจ ทำให้การไหลเฮือไฟซบเซาไป และมาหยุดชะงัก เมื่อปี ๒๕๑๘ เมื่อประเทศลาวมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง อันเป็นผลกระทบทางด้านการเมือง ต่อมาทางจังหวัดนครพนมได้ฟื้นฟูประเพณีนี้ขึ้นมา เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๖ โดยเทศบาลเมือง นครพนม ได้ประกาศชักชวนส่วนราชการพ่อค้า สมาคม และชาวคุ้มวัดต่าง ๆ ประดิษฐ์เรือไฟด้วยต้นกล้วย ไม้ไผ่ หรือวัสดุอย่างหนึ่งอย่างใดที่สามารถลอยน้ำได้ ให้มีรูปร่างลักษณะเหมือนเรือมีความยาวไม่น้อยกว่า ๖ เมตร และประดิษฐ์เป็นรูปหงส์ นาค ครุฑ หรือรูปอย่างใดก็ได้ที่คิดว่าสวยงามส่งเข้าประกวดชิงรางวัลเงินสด และปรากฏว่ามีผู้สนใจส่งเรือไฟเข้าประกวดถึง ๕๒ ลำ ในงานประกวดนั้นเฮือไฟที่งดงามจากฝีมืออันประณีตประดับด้วยโคมไฟที่สวยสะดุดตาเรียงรายอยู่กลางลำน้ำโขง เป็นภาพที่ประทับใจของชาวนครพนมและผู้ที่ ไปเที่ยวชมอย่างยิ่ง
จังหวัดศรีษะเกษ มีความเชื่อว่า เป็นการเซ่นสรวงพญานาค ซึ่งสิงสถิตตามแม่น้ำลำคลอง ให้คุ้มครองผู้ที่สัญจรไปมาทางน้ำ ไม่ให้มีภัยอันตรายเข้ามากล้ำกราย
จังหวัดอุบลราชธานี มีความเชื่อว่า
- เป็นการบูชารอยพระพุทธบาท
- เป็นการบูชาพระรัตนตรัยและพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ อันได้แก่ พระกกุสันโธ พระโกนา-คมโน พระกัส
สโป พระโคตโม และพระอาริยเมตไตร
- เป็นการบูชาคุณแม่โพสพ คือ บูชาพานข้าว
- เป็นการบูชาประทีปตามประเพณี
- เป็นการบูชาดวงวิญญาณของบรรพบุรุษในความเชื่อเรื่องการบูชาบรรพบุรุษ หรือพกาพรหม ปรากฏตามนิทานชาวบ้านที่เล่าสืบต่อ กันมาว่า ครั้งหนึ่งมีกาเผือกสองผัวเมียทำรังอาศัยอยู่บนต้นไม้ในป่าหิมพานต์ใกล้กับฝั่งแม่น้ำ วันหนึ่งกาตัว ผู้บินจากรังไปหากินเผอิญหลงทางกลับรังไม่ได้ จึงบินกระเจิดกระเจิงหายไป กาตัวเมียที่กำลังกกไข่อยู่ ๕ ฟอง คอยกาตัวผู้ไม่เห็นกลับจึงกระวนกระวายใจ อยู่มาวันหนึ่งเกิดพายุใหญ่พัดรังกาพังไข่ทั้ง ๕ ฟอง ตกลงในแม่น้ำ ส่วนแม่กาถูกพัดพาไปอีกทางหนึ่ง ครั้นลมสงบบินกลับมาที่รังพบว่า รังถูกพายุพัดพังและไข่ ทั้ง ๕ ฟองหายไปหมด จึงเสียใจจนตายไป และไปเกิดใหม่ในพรหมโลก ชื่อท้าวพกาพรหมส่วนไข่ทั้ง ๕ ฟอง มีผู้นำไปรักษาไว้ดังนี้ ฟองแรกแม่ไก่เอาไป ฟองที่ ๒ แม่นาคเอาไป ฟองที่ ๓ แม่เต่าเอาไป ฟองที่ ๔ แม่โคเอาไปและฟองสุดท้ายแม่ราชสีห์เอาไปครั้นเมื่อไข่ครบกำหนดฟักแตกออกมากลับเป็นมนุษย์ไม่ใช่ลูกกาตามปกติครั้นเมื่อลูกกาทั้ง ๕โตเป็นหนุ่มเห็นโทษของการเป็นฆราวาส และเห็นถึงอานิสงส์แห่งการบรรพชาจึงได้ลามารดาเลี้ยงออกบวชเป็นฤาษีอยู่ในป่าหิมพานต์ วันหนึ่งฤาษีทั้ง ๕ ได้มาพบกันจึงได้ไต่ถามเรื่องราวของกันและกัน และพร้อมใจกันอธิษฐานว่า ถ้าต่อไปจะได้เป็น องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าขอให้ร้อนไปถึงมารดาด้วย แรงอธิษฐานครั้งนั้นได้ร้อนไปถึงท้าวพกาพรหม และเสด็จจากพรหมโลกจำแลงองค์เป็นกาเผือกบินมาเกาะบนต้นไม้ตรงหน้าฤาษีทั้ง ๕ และเล่าเรื่องเดิมให้ ฟัง และกล่าวว่า "ถ้าคิดถึงแม่ เมื่อถึงวันเพ็ญ เดือน ๑๑ และเดือน ๑๒ ให้เอาด้ายดิบผูกไม้ตีนกาปักธูป เทียนบูชา ลอยกระทงในแม่น้ำเถิด ทำอย่างนี้เรียกว่า คิดถึงแม่" เมื่อบอกเสร็จท้าวพกาพรหมก็ลากลับไป จนกลายมาเป็นที่มาของการลอยกระทงและไหลเรือไฟ
จังหวัดเลย มีความเชื่อว่า เป็นการบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กล่าวคือ บูชา พระพุทธเจ้า ในวันที่พระองค์เสด็จลงมาจากเทวโลกหลังจากที่พระพุทธองค์ได้เสด็จขึ้นไปจำพรรษาที่ดาว ดึงส์พิภพ เพื่อแสดงพระสักธรรมเทศนาอภิธรรม ๗ คัมภีร์ (บทที่ใช้สวดในงานศพ) เพื่อโปรดพุทธมารดา เมื่อออกพรรษาแล้ว พระพุทธเจ้าก็เสด็จลงมาสู่โลกมนุษย์ โดยบันไดทิพย์ทั้ง ๓ คือ บันไดทองอยู่เบื้องขวา เป็นที่ลงแห่งหมู่เทพยดา บันไดเงินเป็นที่ลงแห่งหมู่พรหม ส่วนบันไดแก้วเป็นทางเสด็จพระพุทธเจ้า หัวบันได อยู่ยอดเขาพระสิเนรุราช ทรงแสดง"โลกวิวรณ์ปาฏิหาริย์" คือ เปิดโลกโดยทอดพระเนตรไปเบื้องบนถึงพรหม โลก เบื้องต่ำสุดถึงอเวจีนรก และทิศต่าง ๆ ทั้งแปดทิศโลกธาตุแห่งหมื่นจักรวาล และเห็นเป็นลานกว้าง อันเดียวกัน ทำให้สวรรค์ มนุษย์ นรกแลเห็นกันและกัน จึงเรียกวันนี้ว่า "วันพระเจ้าโปรดโลก"พระองค์เสด็จ มา ณ เมืองสังกัสสะ สถานที่นั่นเรียกว่า "อจลเจดีย์" ทวยเทพทั้งหลายส่งเสด็จ มนุษย์ทั้งหลายรับเสด็จด้วยเครื่องสักการะบูชามโหฬาร การไหลเรือไฟก็ถือเป็นการสักการะบูชาอย่างหนึ่งในวันนั้น
กำหนดจัดงาน
งานประเพณีไหลเรือไฟจัดขึ้นในช่วงเทศกาลออกพรรษา ระหว่างขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ - วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ของทุกปี
กิจกรรมพิธีกรรมภายในงาน
การทำเรือไฟในอดีตนั้น ทำด้วยไม้ไผ่และต้นกล้วย ยาวเพียง ๕ - ๖ วาเท่านั้น ความสูง ไม่เกิน ๑ เมตร และเป็นรูปเรือธรรมดา ทำราวไว้สองข้าง เพื่อวางขี้กะไต้ ตะเกียง หรือโคมไฟ มีการจัด ข้าวปลาอาหารขนมนมเนย ฝ้ายไน ไหมหลอด เสื่อผืน บรรจุไว้ข้างใน พอเวลาประมาณ ๕ โมงเย็นจะเริ่ม ทำพิธี โดยนิมนต์พระมาสวดและหลังการรับศีล ฟังเทศน์ ไหว้พระเรียบร้อยแล้ว จึงให้ญาติโยมตกแต่งเรือด้วยดอกไม้ธูปเทียนที่ถือไปบำเพ็ญกุศลนั้นเอง พอย่ำค่ำก็นำเรือไฟออกไปกลางแม่น้ำโขงแล้วจุดไฟปล่อย ให้เรือไหลไปตามลำน้ำส่งแสงระยิบตาเลยทีเดียว
จังหวัดนครพนม ได้มีการฟื้นฟูประเพณีไหลเรือไฟขึ้น เมื่อปี ๒๕๒๖ โดยเทศบาลเมือง นครพนม ได้ประกาศชักชวนส่วนราชการพ่อค้า ประชาชน และชาวคุ้มวัดต่าง ๆ ช่วยกันประดิษฐ์เรือไฟ ด้วยต้นกล้วย ไม้ไผ่ หรือวัสดุอย่างหนึ่งอย่างใดที่ลอยน้ำได้ ให้มีรูปร่างลักษณะเหมือนเรือ มีความยาวไม่น้อยกว่า ๖ เมตร โดยจะประดิษฐ์เป็นรูปหงส์ นาค ครุฑ หรือรูปอย่างใดก็ได้ที่คิดว่าสวยงาม ส่งเข้าประกวด ชิงรางวัลต่อมาการทำเรือไฟมีวิธีตกแต่งให้วิจิตรพิสดารมากยิ่งขึ้น รู้จักนำเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้า มาประกอบ ทำให้สามารถดัดแปลงเรือไฟให้มีรูปร่างแปลกตาออกไปอีก ทั้งพระภิกษุ สามเณร ชาวบ้าน แต่ละคุ้มวัดจะเตรียมจัดทำเรือไฟไว้ล่วงหน้าหลายวัน โดยนำเอาต้นกล้วยทั้งต้นมาเสียบไม้ต่อกันให้ยาว หลายวา วางขนานกันสองแถว กว้างห่างกันพอประมาณ แล้วนำไม้ไผ่เรียวยาวมาผูกไขว้กันเป็นตารางสี่เหลี่ยม มีระยะห่างกันคืบเศษวางราบพื้น มัดด้วยลวดให้แน่นและแข็งแรงเพื่อรอการออกแบบภาพบนแผงผู้ออกแบบแสดงความคิดสร้างสรรค์อย่างสวยงามที่สุด เช่นประดิษฐ์เป็นเรื่องราวตามพระพุทธประวัติ หรือสัตว์ในตำนานบ้างเป็นพญานาค ครุฑ หงส์เป็นต้น แล้วนำไปปักติดเป็นเสาบนแพหยวกกล้วยในอดีตเชื้อเพลิงที่ใช้จุดไฟนั้นใช้น้ำมันยางตระบอกขี้ผึ้งสีน้ำมันพร้าว, น้ำมันสน, น้ำมันยาง ที่เจาะสกัดจากต้นยางตะแบกชาด แล้วเอาไฟลนให้น้ำมันไหลออกมา แต่ปัจจุบันเปลี่ยนน้ำมันก๊าดหรือ น้ำมันดีเซล บรรจุในขวดน้ำดื่มต่าง ๆแล้วนำมาแขวนตามโครงเรือซึ่งต้องอาศัยการคำนวณที่แม่นยำ เพราะ ถ้าติดกันมากเกินไปจะทำให้เรือไหม้ไฟได้ ส่วนโครงเรือเป็นไม้ไผ่มีขนาดใหญ่ และเน้นความวิจิตรตระการตา เมื่อปล่อยเรือไฟลงน้ำโขงแล้ว จะมีความวิจิตรตระการตา สว่างไสวไปทั่วริมฝั่งแม่น้ำโขง อวดโฉมระยิบระยับมีฉากหลังเป็นสีดำจากท้องฟ้าในยามค่ำคืน และแสงที่สะท้อนจากท้องน้ำเพิ่มความงดงามมากยิ่งขึ้น
เรือที่ทำปัจจุบันมีมาจากคุ้มต่าง ๆ ที่อยู่ในจังหวัดนครพนม มีการออกแบบที่สวยงาม มี เรื่องราว และดูเหมือนจริง เช่นรูปพระธาตุพนม ก็มีการออกแบบมาให้เหมือนจริงเป็น ๓ มิติ ทั้งนี้เป็น เพราะว่าถ้าคุ้มไหนชนะก็ถือเป็นหน้าเป็นตา และมีเงินรางวัลประชาชนในจังหวัดจะร่วมมือกันเป็นอย่างดี ในการช่วยเหลือกัน เพื่อทำงานนี้ให้สำเร็จลุล่วงไปก่อนที่จะมีการไหลเรือไฟ ในช่วงเช้าจะประกอบการกุศลด้วยการทำบุญตักบาตร ถวาย ภัตตาหาร และเลี้ยงดูกัน ตกตอนบ่ายก็ตกแต่งเรือและมีการเล่นสนุกสนานต่าง ๆ ตอนเย็นมีการสวดมนต์ รับศีลและฟังเทศน์ พอตอนค่ำระหว่าง ๑๙.๐๐ - ๒๐.๐๐ น. จึงนำเรือออกไปลงน้ำและพิธีไหลเรือไฟก็เริ่มขึ้น
จังหวัดหนองคาย การประดิษฐ์เรือไฟและพิธีการมีความคล้ายคลึงกับทางจังหวัด นครพนมเป็นอย่างมาก แต่มีรายละเอียดแตกต่างออกไป คือ เมื่อมีการทำบุญและฟังเทศน์จบแล้ว ก็จะมี การร้องรำทำเพลงฉลองเรือไฟ พอเวลาค่ำชาวบ้านจะนำของกินของใช้ เช่น ขนมข้าวต้ม กล้วย อ้อย ฝ้าย ผ้าไหม หมากพลู บุหรี่ ใส่กระจาดบรรจุไว้ในเรือไฟ ครั้นได้เวลาก็จุดไต้ หรือคบเพลิงในเฮือไฟให้สว่าง ชาวบ้านจุดธูปเทียนบูชา และคารวะแม่คงคา เสร็จแล้วนำเอาธูปเทียนไปวางไว้ในเรือไฟ เมื่อบูชากันหมด ทุกคน จึงปล่อยเรือไฟออกจากฝั่งให้ลอยไปตามลำน้ำ พอรุ่งเช้าเรือไฟไปติดที่ฝั่งไหนก็จะมีคนไปเก็บของออก จากเรือไฟ การล่องเรือไฟจะมีผู้เข้าร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก
นอกจากการลอยเรือไฟ ขณะเดียวกันที่หนองคายมีการลอยกระทง โดยใช้หยวกกล้วย ทั้งต้นมาต่อกัน มีไม้เสียบ ยาวหลายวาวางขนานกัน ๒ แถว กว้างห่างกันพอประมาณ แล้วปักเสาบนหยวก กล้วยเป็นระยะบนปลายเสา สร้างเป็นรูปพญานาค แล้วเอาผ้าขี้ริ้วชุบน้ำมันยางจุดบนปลายไม้บาง ๆ เป็น ระยะ ๆ หรือไม่ก็ใช้จุดด้วยไต้ หัวหยวกกล้วยเท่ากับเป็นทุ่น วัดในตำบลหนึ่ง ๆ ทำกระทงอย่างนี้กระทงหนึ่ง แล้วลากไปไว้เหนือน้ำ จอดอยู่ริมฝั่งทั้งสองข้าง เวลาเย็นชาวบ้านทั้ง ๒ ฝั่งแม่น้ำพากันลงเรือไปชุมนุม กันร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนาน พอได้เวลากลางคืนก็จุดไต้ที่กระทงเอาเชือกลากไปที่กลางน้ำ แล้ว ปล่อยให้ลอยไป ในกระทงมีอาหาร เสื้อผ้าของใช้ต่าง ๆ เมื่อเห็นลอยไปพ้นหมู่บ้านแล้วก็พากันกลับ คนที่ ยากจนที่อยู่ปลายน้ำก็จะเก็บกระทงไป
แต่ในปัจจุบัน การลอยกระทงมิได้บรรจุอะไรนอกจากดอกไม้ธูปเทียน แล้วเรียกลอยกระทง นี้ว่า "การไหลเรือ" และต่างคนต่างลอยมิได้ลอยร่วมกัน เมื่อลอยไปแล้วผู้ที่อยู่ใต้น้ำมักจะเก็บไต้ที่จุดไปใน กระทงไปเสีย ทำให้กระทงที่จุดไต้สว่างสวย ลอยอยู่ในน้ำได้ไม่นาน
นอกจากหนองคายมีการไหลเรือและลอยกระทงแล้ว ก็มีการแข่งเรือในแม่น้ำโขงในวันรุ่งขึ้น อีกด้วย
จังหวัดอุบลราชธานี งานประเพณีไหลเรือไฟของชาวอุบลฯ ได้ถือกำเนิดขึ้นจากบุคคล สำคัญ ๓ คน คือ ๑. นายคูณ ส่งศรี อายุ ๗๓ ปี ถึงแก่กรรม ๒๔๙๐ ๒. นายโพธิ์ ส่งศรี อายุ ๙๔ ปี ถึงแก่กรรม ๒๕๒๓ ๓. นายดวง ส่งศรี อายุ ๘๓ ปี ถึงแก่กรรม ๒๕๑๖
ท่านทั้ง ๓ เป็นพี่น้องกัน เป็นศรัทธาวัดทุ่งศรีเมือง ได้ประกอบพิธีไหลเรือไฟ โดยเอาถัง ประทีปที่ชาวบ้านมาจุดบูชาที่วัดลอยที่แม่น้ำมูลในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ต่อมาได้พัฒนาจากถังประทีป มาเป็นเรืออย่างเช่นที่อื่น ๆ และมาในช่วงที่ทหารอเมริกันมาประจำที่ฐานบินจังหวัดอุบลราชธานี ในระหว่างปีพ.ศ. ๒๕๐๗ เป็นต้นมา มีการใช้ถังน้ำมันขนาด ๒๐๐ ลิตร ทำทุ่นและใช้ไม้ไผ่เป็นลำมาติดถังที่เคยเป็นรูปเรือ ก็ปรากฏเป็นรูปอื่น
ส่วนจังหวัดเลย และศรีสะเกษ ก็มีความคล้ายคลึงกับจังหวัดอื่นๆ ทั้งในด้านพิธีกรรมและกิจกรรม
Read more...
ประวัติความเป็นมา
งานประเพณีไหลเรือไฟ หรืองานประเพณีไหลเฮือไฟ (ในภาษาท้องถิ่น-อีสาน) เป็นประเพณีที่จัดขึ้นทั่วไปในหลาย จังหวัดในภาคอีสาน โดยเฉพาะจังหวัดที่ตั้งอยู่ติดลำน้ำ เช่น แม่น้ำมูล - ชี แม่น้ำโขง เป็นต้น การไหลเรือไฟ ในภาคอีสานนั้นเริ่มต้นครั้งแรกเมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐานยืนยันแน่ชัดสันนิษฐานว่าคงมีมาก่อนที่พุทธศาสนา จะเผยแพร่มาสู่ประเทศไทย เพราะสมัยก่อนกษัตริย์ไทยยังยึดถือพิธีพราหมณ์อยู่ โดยได้รับอิทธิพลมาจาก อินเดีย สมัยที่นำอารยธรรมเข้ามาเผยแพร่ในแถบสุวรรณภูมิ ดังพบว่าประเพณีงานบุญโดดเด่นที่จัดขึ้น ในภาคอีสานมักเกี่ยวโยงหรือผูกพันกับเรื่องของไฟเกือบทั้งสิ้น เช่น งานแห่เทียนเข้าพรรษา บุญบั้งไฟ พิธีไหลเรือไฟ เพราะมีความเชื่อว่า "ไฟ"เป็นเทพเจ้าองค์หนึ่งในศาสนาพราหมณ์ เรียกว่า เทพอัคคี มีฐานะรอง จากพระอินทร์ สามารถเผาผลาญสิ่งชั่วร้ายและขจัดความทุกข์ยากให้ดับสลายไปได้
จังหวัดต่าง ๆ ที่มีการจัดประเพณีไหลเรือไฟ เช่น จังหวัดศรีษะเกษ จังหวัดเลย จังหวัด นครพนม จังหวัดหนองคาย จังหวัดอุบลราชธานี ฯลฯ โดยงานประเพณีไหลเรือไฟของจังหวัดนครพนม จัดว่าเป็นงานไหลเรือไฟที่ยิ่งใหญ่ระดับประเทศมักจัดขึ้นคล้ายคลึงกัน แต่ก็แตกต่างกันในด้านคติ ความเชื่อ ดังรายละเอียดต่อไปนี้
จังหวัดนครพนมและหนองคาย(มีทำเลที่ตั้งติดแม่น้ำโขงเหมือนกัน) มีความเชื่อว่า เป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่ประทับไว้ ที่ริมฝั่งน้ำนัมทานที ซึ่งตามพุทธประวัติกล่าวว่า ครั้งที่พญานาคได้ทูลอาราธนาพระพุทธองค์ไปแสดงธรรม ในพิภพของนาคใต้เมืองบาดาล เมื่อพระองค์เสด็จกลับทางฝ่ายพญานาคได้ทูลขอให้พระองค์ประทับรอย พระบาทไว้ ณ ริมฝั่งน้ำนัมทานที พระองค์จึงได้ประทับรอยพระบาทไว้ ณ หาดทรายริมน้ำตามประสงค์ของ พญานาค ซึ่งรอยพระบาทที่ประทับไว้นี้ ไม่เพียงแต่เป็นที่เคารพสักการะของเหล่าพญานาคเท่านั้น ยังเป็นที่เคารพของเหล่าเทวดาและมนุษย์ด้วย จนแสดงออกด้วยการไหลเรือไฟบูชารอยพระพุทธบาทของพระองค์
ความเป็นมาของการจัดประเพณีไหลเรือไฟของจังหวัดนครพนม เสฐียรโกเศศ ได้เขียนไว้ ในหนังสือวัฒนธรรมและประเพณีอ้างตามคำบอกเล่าของพระเถระรูปหนึ่งว่า การลอยกระทงที่จังหวัด หนองคาย เมื่อกลางเดือน ๑๑ ชาวคุ้มวัดต่าง ๆ จะร่วมกันสร้างเรือนบนต้นกล้วย เอาไม้เสียบเรียงขนานกัน เป็นทุ่นใช้ผ้าชุบน้ำมันยางมัดติดปลายไม้ หรือใช้ไต้เรียงเป็นระยะ ๆ แล้วช่วยกันเอาเชือกลากออกไปกลาง กระแสน้ำ จุดไฟปล่อยไปในเวลากลางคืน เรียกว่า "ไหลเรือ" และเมื่อลอยไปแล้วมักจะถูกคนที่อยู่ใต้กระแส น้ำเก็บเอาไต้ที่จุดไปเสียทำให้กระทงที่ดูสว่างไสวสวยงามนั้นลอยอยู่ในน้ำไม่ได้นานหลายครั้งหลายหน เข้าผู้ร่วมมือร่วมแรงกันประดิษฐ์กระทงเรือก็หมดกำลังใจ ทำให้การไหลเฮือไฟซบเซาไป และมาหยุดชะงัก เมื่อปี ๒๕๑๘ เมื่อประเทศลาวมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง อันเป็นผลกระทบทางด้านการเมือง ต่อมาทางจังหวัดนครพนมได้ฟื้นฟูประเพณีนี้ขึ้นมา เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๖ โดยเทศบาลเมือง นครพนม ได้ประกาศชักชวนส่วนราชการพ่อค้า สมาคม และชาวคุ้มวัดต่าง ๆ ประดิษฐ์เรือไฟด้วยต้นกล้วย ไม้ไผ่ หรือวัสดุอย่างหนึ่งอย่างใดที่สามารถลอยน้ำได้ ให้มีรูปร่างลักษณะเหมือนเรือมีความยาวไม่น้อยกว่า ๖ เมตร และประดิษฐ์เป็นรูปหงส์ นาค ครุฑ หรือรูปอย่างใดก็ได้ที่คิดว่าสวยงามส่งเข้าประกวดชิงรางวัลเงินสด และปรากฏว่ามีผู้สนใจส่งเรือไฟเข้าประกวดถึง ๕๒ ลำ ในงานประกวดนั้นเฮือไฟที่งดงามจากฝีมืออันประณีตประดับด้วยโคมไฟที่สวยสะดุดตาเรียงรายอยู่กลางลำน้ำโขง เป็นภาพที่ประทับใจของชาวนครพนมและผู้ที่ ไปเที่ยวชมอย่างยิ่ง
จังหวัดศรีษะเกษ มีความเชื่อว่า เป็นการเซ่นสรวงพญานาค ซึ่งสิงสถิตตามแม่น้ำลำคลอง ให้คุ้มครองผู้ที่สัญจรไปมาทางน้ำ ไม่ให้มีภัยอันตรายเข้ามากล้ำกราย
จังหวัดอุบลราชธานี มีความเชื่อว่า
- เป็นการบูชารอยพระพุทธบาท
- เป็นการบูชาพระรัตนตรัยและพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ อันได้แก่ พระกกุสันโธ พระโกนา-คมโน พระกัส
สโป พระโคตโม และพระอาริยเมตไตร
- เป็นการบูชาคุณแม่โพสพ คือ บูชาพานข้าว
- เป็นการบูชาประทีปตามประเพณี
- เป็นการบูชาดวงวิญญาณของบรรพบุรุษในความเชื่อเรื่องการบูชาบรรพบุรุษ หรือพกาพรหม ปรากฏตามนิทานชาวบ้านที่เล่าสืบต่อ กันมาว่า ครั้งหนึ่งมีกาเผือกสองผัวเมียทำรังอาศัยอยู่บนต้นไม้ในป่าหิมพานต์ใกล้กับฝั่งแม่น้ำ วันหนึ่งกาตัว ผู้บินจากรังไปหากินเผอิญหลงทางกลับรังไม่ได้ จึงบินกระเจิดกระเจิงหายไป กาตัวเมียที่กำลังกกไข่อยู่ ๕ ฟอง คอยกาตัวผู้ไม่เห็นกลับจึงกระวนกระวายใจ อยู่มาวันหนึ่งเกิดพายุใหญ่พัดรังกาพังไข่ทั้ง ๕ ฟอง ตกลงในแม่น้ำ ส่วนแม่กาถูกพัดพาไปอีกทางหนึ่ง ครั้นลมสงบบินกลับมาที่รังพบว่า รังถูกพายุพัดพังและไข่ ทั้ง ๕ ฟองหายไปหมด จึงเสียใจจนตายไป และไปเกิดใหม่ในพรหมโลก ชื่อท้าวพกาพรหมส่วนไข่ทั้ง ๕ ฟอง มีผู้นำไปรักษาไว้ดังนี้ ฟองแรกแม่ไก่เอาไป ฟองที่ ๒ แม่นาคเอาไป ฟองที่ ๓ แม่เต่าเอาไป ฟองที่ ๔ แม่โคเอาไปและฟองสุดท้ายแม่ราชสีห์เอาไปครั้นเมื่อไข่ครบกำหนดฟักแตกออกมากลับเป็นมนุษย์ไม่ใช่ลูกกาตามปกติครั้นเมื่อลูกกาทั้ง ๕โตเป็นหนุ่มเห็นโทษของการเป็นฆราวาส และเห็นถึงอานิสงส์แห่งการบรรพชาจึงได้ลามารดาเลี้ยงออกบวชเป็นฤาษีอยู่ในป่าหิมพานต์ วันหนึ่งฤาษีทั้ง ๕ ได้มาพบกันจึงได้ไต่ถามเรื่องราวของกันและกัน และพร้อมใจกันอธิษฐานว่า ถ้าต่อไปจะได้เป็น องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าขอให้ร้อนไปถึงมารดาด้วย แรงอธิษฐานครั้งนั้นได้ร้อนไปถึงท้าวพกาพรหม และเสด็จจากพรหมโลกจำแลงองค์เป็นกาเผือกบินมาเกาะบนต้นไม้ตรงหน้าฤาษีทั้ง ๕ และเล่าเรื่องเดิมให้ ฟัง และกล่าวว่า "ถ้าคิดถึงแม่ เมื่อถึงวันเพ็ญ เดือน ๑๑ และเดือน ๑๒ ให้เอาด้ายดิบผูกไม้ตีนกาปักธูป เทียนบูชา ลอยกระทงในแม่น้ำเถิด ทำอย่างนี้เรียกว่า คิดถึงแม่" เมื่อบอกเสร็จท้าวพกาพรหมก็ลากลับไป จนกลายมาเป็นที่มาของการลอยกระทงและไหลเรือไฟ
จังหวัดเลย มีความเชื่อว่า เป็นการบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กล่าวคือ บูชา พระพุทธเจ้า ในวันที่พระองค์เสด็จลงมาจากเทวโลกหลังจากที่พระพุทธองค์ได้เสด็จขึ้นไปจำพรรษาที่ดาว ดึงส์พิภพ เพื่อแสดงพระสักธรรมเทศนาอภิธรรม ๗ คัมภีร์ (บทที่ใช้สวดในงานศพ) เพื่อโปรดพุทธมารดา เมื่อออกพรรษาแล้ว พระพุทธเจ้าก็เสด็จลงมาสู่โลกมนุษย์ โดยบันไดทิพย์ทั้ง ๓ คือ บันไดทองอยู่เบื้องขวา เป็นที่ลงแห่งหมู่เทพยดา บันไดเงินเป็นที่ลงแห่งหมู่พรหม ส่วนบันไดแก้วเป็นทางเสด็จพระพุทธเจ้า หัวบันได อยู่ยอดเขาพระสิเนรุราช ทรงแสดง"โลกวิวรณ์ปาฏิหาริย์" คือ เปิดโลกโดยทอดพระเนตรไปเบื้องบนถึงพรหม โลก เบื้องต่ำสุดถึงอเวจีนรก และทิศต่าง ๆ ทั้งแปดทิศโลกธาตุแห่งหมื่นจักรวาล และเห็นเป็นลานกว้าง อันเดียวกัน ทำให้สวรรค์ มนุษย์ นรกแลเห็นกันและกัน จึงเรียกวันนี้ว่า "วันพระเจ้าโปรดโลก"พระองค์เสด็จ มา ณ เมืองสังกัสสะ สถานที่นั่นเรียกว่า "อจลเจดีย์" ทวยเทพทั้งหลายส่งเสด็จ มนุษย์ทั้งหลายรับเสด็จด้วยเครื่องสักการะบูชามโหฬาร การไหลเรือไฟก็ถือเป็นการสักการะบูชาอย่างหนึ่งในวันนั้น
กำหนดจัดงาน
งานประเพณีไหลเรือไฟจัดขึ้นในช่วงเทศกาลออกพรรษา ระหว่างขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ - วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ของทุกปี
กิจกรรมพิธีกรรมภายในงาน
การทำเรือไฟในอดีตนั้น ทำด้วยไม้ไผ่และต้นกล้วย ยาวเพียง ๕ - ๖ วาเท่านั้น ความสูง ไม่เกิน ๑ เมตร และเป็นรูปเรือธรรมดา ทำราวไว้สองข้าง เพื่อวางขี้กะไต้ ตะเกียง หรือโคมไฟ มีการจัด ข้าวปลาอาหารขนมนมเนย ฝ้ายไน ไหมหลอด เสื่อผืน บรรจุไว้ข้างใน พอเวลาประมาณ ๕ โมงเย็นจะเริ่ม ทำพิธี โดยนิมนต์พระมาสวดและหลังการรับศีล ฟังเทศน์ ไหว้พระเรียบร้อยแล้ว จึงให้ญาติโยมตกแต่งเรือด้วยดอกไม้ธูปเทียนที่ถือไปบำเพ็ญกุศลนั้นเอง พอย่ำค่ำก็นำเรือไฟออกไปกลางแม่น้ำโขงแล้วจุดไฟปล่อย ให้เรือไหลไปตามลำน้ำส่งแสงระยิบตาเลยทีเดียว
จังหวัดนครพนม ได้มีการฟื้นฟูประเพณีไหลเรือไฟขึ้น เมื่อปี ๒๕๒๖ โดยเทศบาลเมือง นครพนม ได้ประกาศชักชวนส่วนราชการพ่อค้า ประชาชน และชาวคุ้มวัดต่าง ๆ ช่วยกันประดิษฐ์เรือไฟ ด้วยต้นกล้วย ไม้ไผ่ หรือวัสดุอย่างหนึ่งอย่างใดที่ลอยน้ำได้ ให้มีรูปร่างลักษณะเหมือนเรือ มีความยาวไม่น้อยกว่า ๖ เมตร โดยจะประดิษฐ์เป็นรูปหงส์ นาค ครุฑ หรือรูปอย่างใดก็ได้ที่คิดว่าสวยงาม ส่งเข้าประกวด ชิงรางวัลต่อมาการทำเรือไฟมีวิธีตกแต่งให้วิจิตรพิสดารมากยิ่งขึ้น รู้จักนำเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้า มาประกอบ ทำให้สามารถดัดแปลงเรือไฟให้มีรูปร่างแปลกตาออกไปอีก ทั้งพระภิกษุ สามเณร ชาวบ้าน แต่ละคุ้มวัดจะเตรียมจัดทำเรือไฟไว้ล่วงหน้าหลายวัน โดยนำเอาต้นกล้วยทั้งต้นมาเสียบไม้ต่อกันให้ยาว หลายวา วางขนานกันสองแถว กว้างห่างกันพอประมาณ แล้วนำไม้ไผ่เรียวยาวมาผูกไขว้กันเป็นตารางสี่เหลี่ยม มีระยะห่างกันคืบเศษวางราบพื้น มัดด้วยลวดให้แน่นและแข็งแรงเพื่อรอการออกแบบภาพบนแผงผู้ออกแบบแสดงความคิดสร้างสรรค์อย่างสวยงามที่สุด เช่นประดิษฐ์เป็นเรื่องราวตามพระพุทธประวัติ หรือสัตว์ในตำนานบ้างเป็นพญานาค ครุฑ หงส์เป็นต้น แล้วนำไปปักติดเป็นเสาบนแพหยวกกล้วยในอดีตเชื้อเพลิงที่ใช้จุดไฟนั้นใช้น้ำมันยางตระบอกขี้ผึ้งสีน้ำมันพร้าว, น้ำมันสน, น้ำมันยาง ที่เจาะสกัดจากต้นยางตะแบกชาด แล้วเอาไฟลนให้น้ำมันไหลออกมา แต่ปัจจุบันเปลี่ยนน้ำมันก๊าดหรือ น้ำมันดีเซล บรรจุในขวดน้ำดื่มต่าง ๆแล้วนำมาแขวนตามโครงเรือซึ่งต้องอาศัยการคำนวณที่แม่นยำ เพราะ ถ้าติดกันมากเกินไปจะทำให้เรือไหม้ไฟได้ ส่วนโครงเรือเป็นไม้ไผ่มีขนาดใหญ่ และเน้นความวิจิตรตระการตา เมื่อปล่อยเรือไฟลงน้ำโขงแล้ว จะมีความวิจิตรตระการตา สว่างไสวไปทั่วริมฝั่งแม่น้ำโขง อวดโฉมระยิบระยับมีฉากหลังเป็นสีดำจากท้องฟ้าในยามค่ำคืน และแสงที่สะท้อนจากท้องน้ำเพิ่มความงดงามมากยิ่งขึ้น
เรือที่ทำปัจจุบันมีมาจากคุ้มต่าง ๆ ที่อยู่ในจังหวัดนครพนม มีการออกแบบที่สวยงาม มี เรื่องราว และดูเหมือนจริง เช่นรูปพระธาตุพนม ก็มีการออกแบบมาให้เหมือนจริงเป็น ๓ มิติ ทั้งนี้เป็น เพราะว่าถ้าคุ้มไหนชนะก็ถือเป็นหน้าเป็นตา และมีเงินรางวัลประชาชนในจังหวัดจะร่วมมือกันเป็นอย่างดี ในการช่วยเหลือกัน เพื่อทำงานนี้ให้สำเร็จลุล่วงไปก่อนที่จะมีการไหลเรือไฟ ในช่วงเช้าจะประกอบการกุศลด้วยการทำบุญตักบาตร ถวาย ภัตตาหาร และเลี้ยงดูกัน ตกตอนบ่ายก็ตกแต่งเรือและมีการเล่นสนุกสนานต่าง ๆ ตอนเย็นมีการสวดมนต์ รับศีลและฟังเทศน์ พอตอนค่ำระหว่าง ๑๙.๐๐ - ๒๐.๐๐ น. จึงนำเรือออกไปลงน้ำและพิธีไหลเรือไฟก็เริ่มขึ้น
จังหวัดหนองคาย การประดิษฐ์เรือไฟและพิธีการมีความคล้ายคลึงกับทางจังหวัด นครพนมเป็นอย่างมาก แต่มีรายละเอียดแตกต่างออกไป คือ เมื่อมีการทำบุญและฟังเทศน์จบแล้ว ก็จะมี การร้องรำทำเพลงฉลองเรือไฟ พอเวลาค่ำชาวบ้านจะนำของกินของใช้ เช่น ขนมข้าวต้ม กล้วย อ้อย ฝ้าย ผ้าไหม หมากพลู บุหรี่ ใส่กระจาดบรรจุไว้ในเรือไฟ ครั้นได้เวลาก็จุดไต้ หรือคบเพลิงในเฮือไฟให้สว่าง ชาวบ้านจุดธูปเทียนบูชา และคารวะแม่คงคา เสร็จแล้วนำเอาธูปเทียนไปวางไว้ในเรือไฟ เมื่อบูชากันหมด ทุกคน จึงปล่อยเรือไฟออกจากฝั่งให้ลอยไปตามลำน้ำ พอรุ่งเช้าเรือไฟไปติดที่ฝั่งไหนก็จะมีคนไปเก็บของออก จากเรือไฟ การล่องเรือไฟจะมีผู้เข้าร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก
นอกจากการลอยเรือไฟ ขณะเดียวกันที่หนองคายมีการลอยกระทง โดยใช้หยวกกล้วย ทั้งต้นมาต่อกัน มีไม้เสียบ ยาวหลายวาวางขนานกัน ๒ แถว กว้างห่างกันพอประมาณ แล้วปักเสาบนหยวก กล้วยเป็นระยะบนปลายเสา สร้างเป็นรูปพญานาค แล้วเอาผ้าขี้ริ้วชุบน้ำมันยางจุดบนปลายไม้บาง ๆ เป็น ระยะ ๆ หรือไม่ก็ใช้จุดด้วยไต้ หัวหยวกกล้วยเท่ากับเป็นทุ่น วัดในตำบลหนึ่ง ๆ ทำกระทงอย่างนี้กระทงหนึ่ง แล้วลากไปไว้เหนือน้ำ จอดอยู่ริมฝั่งทั้งสองข้าง เวลาเย็นชาวบ้านทั้ง ๒ ฝั่งแม่น้ำพากันลงเรือไปชุมนุม กันร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนาน พอได้เวลากลางคืนก็จุดไต้ที่กระทงเอาเชือกลากไปที่กลางน้ำ แล้ว ปล่อยให้ลอยไป ในกระทงมีอาหาร เสื้อผ้าของใช้ต่าง ๆ เมื่อเห็นลอยไปพ้นหมู่บ้านแล้วก็พากันกลับ คนที่ ยากจนที่อยู่ปลายน้ำก็จะเก็บกระทงไป
แต่ในปัจจุบัน การลอยกระทงมิได้บรรจุอะไรนอกจากดอกไม้ธูปเทียน แล้วเรียกลอยกระทง นี้ว่า "การไหลเรือ" และต่างคนต่างลอยมิได้ลอยร่วมกัน เมื่อลอยไปแล้วผู้ที่อยู่ใต้น้ำมักจะเก็บไต้ที่จุดไปใน กระทงไปเสีย ทำให้กระทงที่จุดไต้สว่างสวย ลอยอยู่ในน้ำได้ไม่นาน
นอกจากหนองคายมีการไหลเรือและลอยกระทงแล้ว ก็มีการแข่งเรือในแม่น้ำโขงในวันรุ่งขึ้น อีกด้วย
จังหวัดอุบลราชธานี งานประเพณีไหลเรือไฟของชาวอุบลฯ ได้ถือกำเนิดขึ้นจากบุคคล สำคัญ ๓ คน คือ ๑. นายคูณ ส่งศรี อายุ ๗๓ ปี ถึงแก่กรรม ๒๔๙๐ ๒. นายโพธิ์ ส่งศรี อายุ ๙๔ ปี ถึงแก่กรรม ๒๕๒๓ ๓. นายดวง ส่งศรี อายุ ๘๓ ปี ถึงแก่กรรม ๒๕๑๖
ท่านทั้ง ๓ เป็นพี่น้องกัน เป็นศรัทธาวัดทุ่งศรีเมือง ได้ประกอบพิธีไหลเรือไฟ โดยเอาถัง ประทีปที่ชาวบ้านมาจุดบูชาที่วัดลอยที่แม่น้ำมูลในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ต่อมาได้พัฒนาจากถังประทีป มาเป็นเรืออย่างเช่นที่อื่น ๆ และมาในช่วงที่ทหารอเมริกันมาประจำที่ฐานบินจังหวัดอุบลราชธานี ในระหว่างปีพ.ศ. ๒๕๐๗ เป็นต้นมา มีการใช้ถังน้ำมันขนาด ๒๐๐ ลิตร ทำทุ่นและใช้ไม้ไผ่เป็นลำมาติดถังที่เคยเป็นรูปเรือ ก็ปรากฏเป็นรูปอื่น
ส่วนจังหวัดเลย และศรีสะเกษ ก็มีความคล้ายคลึงกับจังหวัดอื่นๆ ทั้งในด้านพิธีกรรมและกิจกรรม
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)






