วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2553
จุดเริ่มต้นของชีวิต
เขียนโดย Gig | ที่ 23:40 | 0 ความคิดเห็น
Read more...
วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553
e-commerce ในไทย
เขียนโดย Gig | ที่ 00:18 | 0 ความคิดเห็น
e-Commerce ในไทย
เรื่องเกี่ยวกับ e-Commerce ที่ผมกำลังเขียนนี้ เป็นความคิดเห็น ไม่ใช่ theory หรือ conclusion จึงไม่สามารถนำไปอ้างอิงได้ตามหลักวิชาการ ที่เขียนนี้ก็เพื่อให้ข้อมูล ในอีกมุมมองหนึ่งของคนทำเว็บ ซึ่งอาจจะสวนกระแสอยู่เล็กน้อย ตามประสาของคนเจ้าปัญหา เพราะใคร ๆ หลายคนรอบข้างผม มักว่าผมเป็นมนุษย์ Conservative เสมอ e-Commerce ในทางทฤษฏี คืออะไรที่ยอดเยี่ยมสำหรับนักลงทุน เป็นอะไรที่ แปลกใหม่ กำลังอยู่ในความสนใจของ ผู้ประกอบการนักวิชาการ นักพัฒนาเว็บ และประชาชนผู้มีฐานะดีทั่วโลกด้วยเหตุที่ e-Commerce คือคำที่ใช้เรียก ระบบการซื้อขายผ่าน internet ไม่ว่าจะเต็มรูปแบบ หรือกึ่งรูปแบบ โดยมีเงื่อนไขง่าย ๆ ว่า e-Commerce คือเรื่องที่ต้องมีผู้ขาย และผู้ซื้อ ติดต่อกันเป็นหลักส่วนรายละเอียดปลีกย่อยอีก 108 เป็นเพียงส่วนประกอบเท่านั้น e-Commerce เต็มรูปแบบในความหมายของผมคือการทำเว็บโฆษณาขายสินค้า ให้ลูกค้าเข้ามาดู หากถูกใจก็จะทำการเลือกสินค้า แล้วจ่ายเงินผ่านบัตร เครดิตหรือโอนเงินเข้าธนาคาร ตามเลขบัญชี หรือส่งตั๋วแลกเงินไปให้ ผู้ขาย จากนั้นผู้ขายก็จะส่งสินค้าไปให้ผู้ซื้อถึงบ้าน คำว่าเต็มรูปแบบในความหมายนี้ก็คือ ผู้ขายมักได้เงินก่อน หรือมั่นใจว่าได้เงินแน่นอน จึงส่งสินค้าไปให้ แต่วิธีนี้เป็นวิธีที่ค่อนข้างยุ่งยากและสลับซับซ้อน ดังนั้นร้านค้าธรรมดาต้องอาศัย การฝากข้อมูลไว้กับเว็บที่ชำนาญ เช่น http://www.thaicybermall.com/ หรือ http://www.shoppingthailand.com/ เสมือนกับห้าง central ที่เราสามารถไปเช่าพื้นที่ขายสินค้า โดยทางเว็บจะให้บริการรับชำระเงินผ่านบัตรเครดิต ทำระบบ stock และแจ้งให้เราทราบเกี่ยวกับรายการซื้อขาย พร้อมให้ คำแนะนำต่าง ๆ กับเราสารพัดที่จะทำให้เราขายสินค้าได้ e-Commerce กึ่งรูปแบบคือ การทำเว็บขายสินค้าเหมือนแบบเต็มรูปแบบ แต่จุดที่ แตกต่างกันอยู่ที่วิธีการจ่ายเงิน โดยจะไม่มีการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต แต่อาจเป็นวิธีโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารหลังรับสินค้า หรือให้ไปรับสินค้า ผ่าน พ.ก.ง. ซึ่งลูกค้าต้องไปจ่ายเงินที่ ณ ที่ทำการไปรษณีย์ แต่เป็นวิธี ที่ไม่ปลอดภัยกับผู้ขาย เพราะเสี่ยงที่ลูกค้าจะไม่ไปรับสินค้าทำให้ต้อง เสียค่าใช้จ่ายในส่วนนี้โดยไม่จำเป็น แต่ก็เหมาะกับธุรกิจที่ไม่ถูกกฏหมาย เช่นขาย cd เถื่อน หรือธุรกิจที่ไม่ได้ทำระบบรับชำระอัตโนมัติ ที่สมบูรณ์ แต่ต้องการความง่าย หรือต้องการคุยกับลูกค้ารายตัว ก่อนส่งสินค้าเป็นต้น เรื่องของ e-Commerce ในอเมริกา นั่นรุ่งเรืองมาก เพราะผู้ขายมีเทคโนโลยี ผู้ซื้อเข้าถึงคอมพิวเตอร์ได้ง่ายและก็มีบัตรเครดิตกันเหมือนกับจะใช้ แทนเงินสดกันเลยทีเดียว ปัจจุบันชาวอเมริกาในพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศสามารถใช้บัตรเครดิตซื้อขายกันเป็นเรื่องปกติ การใช้เงินสดซื้อขอซะอีก ที่เป็นเรื่องผิดปกติ เมื่อหันกลับมามองเมืองไทยก็จะพบปัญหาในการทำธุรกิจ แบบนี้ นานาประการ แต่ผมก็เห็นนักวิชาการ และนักธุรกิจ กลุ่มหนึ่ง พยายามที่จะผลักดันเรื่องนี้ให้เป็นไปได้ แต่ผมบอกแล้วว่าผมเป็นพวก conservative จึงเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องยากเพราะผมมองเห็นปัญหาที่แก้ได้ยากกว่าจะทำให้ e-Commerce เจริญในทางรูปธรรมในเมืองไทย
ปัญหาของ e-Commerce ในไทย
1. คนไทยค่าครองชีพต่ำทำให้อำนาจซื้อที่จะไปซื้อของผ่านเว็บยังน้อย
2. คนไทยน้อยคนมากที่จะใช้บัตรเครดิต และยิ่งน้อยเข้าไปอีกที่จะนำไปซื้อของ ผ่าน internet อันมีเหตุผลมาจากความเชื่อถือในความปลอดภัย ผมรู้จักผู้มีฐานะ ท่านหนึ่ง เขาไปซื้อของใน internet แบบให้ลงทะเบียนเลขบัตรไว้ แต่จะยังไม่เก็บตัง พอเดือนต่อมา ปรากฏว่ามียอดการใช้บัตร เป็นค่าโทรศัพท์ในอเมริกาที่เจ้าของบัตร ไม่รู้ไม่เห็นด้วยเลย นี่ก็คือตัวอย่างหนึ่งที่อาจไม่เกิดกับท่านก็ได้ .. อย่ากลัว ผมไม่ได้ขู่นะครับเพียงแต่ให้ข้อมูลเรื่องจริงเท่านั้น
3. คนไทยน้อยคนที่สนใจ ใช้งานคอมพิวเตอร์เพื่อจับจ่ายซื้อของ ส่วนใหญ่จะใช้ทำงานและเพื่อการศึกษา และเล่นเกมส์ สังเกตุว่า ร้านขาย cd เกือบทุกร้านจะมีแผ่น cd เกมส์กันเกือบครึ่งร้านและผู้ไปซื้อคอมพิวเตอร์กว่าครึ่งหนึ่งจะถามว่า คอมพิวเตอร์มีเกมส์อะไรบ้าง
4. เมื่อ demand น้อย ทำให้ supply น้อยไปด้วยทำให้เกิดการแข่งขัน และความพยายามที่จะพัฒนาระบบน้อย เนื่องจากไม่คุ้มกับการลงทุน
5. คนไทยส่วนใหญ่นิยมใช้เงินสดและได้เลือกสินค้าก่อนซื้อ มิใช่เห็นแต่ในภาพ
e-Commerce ในทางปฏิบัติ ของเมืองไทย เป็นเรื่องปกติที่ทุกคนต้องการอะไรที่สะดวกสบาย โดยเฉพาะการซื้อของผ่านเว็บ ดังนั้นนักวิชาการ นักพัฒนา และนักลงทุน จึงร่วมมือกันที่จะทำให้เรื่องนี้เป็นจริงในเมืองไทย จึงได้ทำเว็บลักษณะนี้กันขึ้นมากมาย และใช้กันในปัจจุบัน แต่เท่าที่ผมสังเกตุ เห็นในเว็บ e-Commerce เมื่อต้นปี2000 เช่น http://www.thaicybermall.com/ หรือ http://www.shoppingthailand.com/ ซึ่งเป็นเว็บ e-Commerce ของ ISP(Internet Service Provider) ชื่อดังระดับ top5 ของเมืองไทย แต่มีสินค้า และร้านค้า น้อยมาก นอกจากนี้ยังสังเกตุได้จากเว็บรับประมูล ที่ใคร ๆ ก็เสนอขายสินค้าอะไรก็ได้ เช่น http://www.thaibid.com/ และ http://www.pramool.com/ สำหรับทั้งสองเว็บนี้ ผมก็ได้ทดลองลงประกาศขายเว็บส่วนตัวของผม ในราคา 39,999 บาท ที่ขายไปก็เพื่อศึกษาการทำธุรกิจ จะได้นำประสบการณ์มาเล่าให้นักศึกษาฟัง เว็บที่ผมขายคือ thainame.net ส่วนรายละเอียดผมจะมาเล่าให้ฟังในฉบับต่อไป
สุดท้ายนี้ ผมขอฝากคำถามไว้ให้ท่านตอบ แต่ตอบในใจนะครับไม่ต้องบอกผมว่าท่านคิดว่า e-Commerce จะเป็น fashion เหมือน ทามาก๊อต หรือ DanceZone หรือไม่ หรือจะเป็น trend ของโลก แต่ค่อย ๆ ก้าวไป หรือเป็นไปอะไรที่มาแรงสุด ๆ ทั้งใน ทางทฤษฎี และทางปฏิบัติ ก่อนตอบคำถามผม ขอถามหน่อยว่าท่านเคยหรือเห็นใครรอบข้างท่านเข้าไปใช้บริการ e-Commerce บ่อยเพียงใด แล้วค่อยตอบคำถาม ขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่าปัจจุบันเว็บ e-Commerce ชื่อดังอย่าง amazon.com หรือ ebay.com นั้น มียอดหุ้นสูงมาก แต่ผลการดำเนินการยังขาดทุนอยู่ครับ แต่ที่ยอดหุ้นสูงเพราะนักเก็งกำไรบอกว่า เขาซื้ออนาคต ไม่ได้ซื้อปัจจุบัน ในความเห็นของผมแล้ว ผมไม่ใช่นักเก็งกำไร จะให้ซื้ออนาคตผมคงไม่เอาด้วยแน่ แล้วถ้าเป็นท่าน เห็นเขาดำเนินธุรกิจขาดทุน ท่านคิดจะไปซื้อหุ้นเขาไหมครับ
1. คนไทยค่าครองชีพต่ำทำให้อำนาจซื้อที่จะไปซื้อของผ่านเว็บยังน้อย
2. คนไทยน้อยคนมากที่จะใช้บัตรเครดิต และยิ่งน้อยเข้าไปอีกที่จะนำไปซื้อของ ผ่าน internet อันมีเหตุผลมาจากความเชื่อถือในความปลอดภัย ผมรู้จักผู้มีฐานะ ท่านหนึ่ง เขาไปซื้อของใน internet แบบให้ลงทะเบียนเลขบัตรไว้ แต่จะยังไม่เก็บตัง พอเดือนต่อมา ปรากฏว่ามียอดการใช้บัตร เป็นค่าโทรศัพท์ในอเมริกาที่เจ้าของบัตร ไม่รู้ไม่เห็นด้วยเลย นี่ก็คือตัวอย่างหนึ่งที่อาจไม่เกิดกับท่านก็ได้ .. อย่ากลัว ผมไม่ได้ขู่นะครับเพียงแต่ให้ข้อมูลเรื่องจริงเท่านั้น
3. คนไทยน้อยคนที่สนใจ ใช้งานคอมพิวเตอร์เพื่อจับจ่ายซื้อของ ส่วนใหญ่จะใช้ทำงานและเพื่อการศึกษา และเล่นเกมส์ สังเกตุว่า ร้านขาย cd เกือบทุกร้านจะมีแผ่น cd เกมส์กันเกือบครึ่งร้านและผู้ไปซื้อคอมพิวเตอร์กว่าครึ่งหนึ่งจะถามว่า คอมพิวเตอร์มีเกมส์อะไรบ้าง
4. เมื่อ demand น้อย ทำให้ supply น้อยไปด้วยทำให้เกิดการแข่งขัน และความพยายามที่จะพัฒนาระบบน้อย เนื่องจากไม่คุ้มกับการลงทุน
5. คนไทยส่วนใหญ่นิยมใช้เงินสดและได้เลือกสินค้าก่อนซื้อ มิใช่เห็นแต่ในภาพ
e-Commerce ในทางปฏิบัติ ของเมืองไทย เป็นเรื่องปกติที่ทุกคนต้องการอะไรที่สะดวกสบาย โดยเฉพาะการซื้อของผ่านเว็บ ดังนั้นนักวิชาการ นักพัฒนา และนักลงทุน จึงร่วมมือกันที่จะทำให้เรื่องนี้เป็นจริงในเมืองไทย จึงได้ทำเว็บลักษณะนี้กันขึ้นมากมาย และใช้กันในปัจจุบัน แต่เท่าที่ผมสังเกตุ เห็นในเว็บ e-Commerce เมื่อต้นปี2000 เช่น http://www.thaicybermall.com/ หรือ http://www.shoppingthailand.com/ ซึ่งเป็นเว็บ e-Commerce ของ ISP(Internet Service Provider) ชื่อดังระดับ top5 ของเมืองไทย แต่มีสินค้า และร้านค้า น้อยมาก นอกจากนี้ยังสังเกตุได้จากเว็บรับประมูล ที่ใคร ๆ ก็เสนอขายสินค้าอะไรก็ได้ เช่น http://www.thaibid.com/ และ http://www.pramool.com/ สำหรับทั้งสองเว็บนี้ ผมก็ได้ทดลองลงประกาศขายเว็บส่วนตัวของผม ในราคา 39,999 บาท ที่ขายไปก็เพื่อศึกษาการทำธุรกิจ จะได้นำประสบการณ์มาเล่าให้นักศึกษาฟัง เว็บที่ผมขายคือ thainame.net ส่วนรายละเอียดผมจะมาเล่าให้ฟังในฉบับต่อไป
สุดท้ายนี้ ผมขอฝากคำถามไว้ให้ท่านตอบ แต่ตอบในใจนะครับไม่ต้องบอกผมว่าท่านคิดว่า e-Commerce จะเป็น fashion เหมือน ทามาก๊อต หรือ DanceZone หรือไม่ หรือจะเป็น trend ของโลก แต่ค่อย ๆ ก้าวไป หรือเป็นไปอะไรที่มาแรงสุด ๆ ทั้งใน ทางทฤษฎี และทางปฏิบัติ ก่อนตอบคำถามผม ขอถามหน่อยว่าท่านเคยหรือเห็นใครรอบข้างท่านเข้าไปใช้บริการ e-Commerce บ่อยเพียงใด แล้วค่อยตอบคำถาม ขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่าปัจจุบันเว็บ e-Commerce ชื่อดังอย่าง amazon.com หรือ ebay.com นั้น มียอดหุ้นสูงมาก แต่ผลการดำเนินการยังขาดทุนอยู่ครับ แต่ที่ยอดหุ้นสูงเพราะนักเก็งกำไรบอกว่า เขาซื้ออนาคต ไม่ได้ซื้อปัจจุบัน ในความเห็นของผมแล้ว ผมไม่ใช่นักเก็งกำไร จะให้ซื้ออนาคตผมคงไม่เอาด้วยแน่ แล้วถ้าเป็นท่าน เห็นเขาดำเนินธุรกิจขาดทุน ท่านคิดจะไปซื้อหุ้นเขาไหมครับ
ที่มา : YONOK Business monthly ปีที่2 ฉบับที่2 วันที่ 1-31 มีนาคม 2543
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)




